ชีวิตที่สบาย
ชีวิตปกติธรรมดา ไม่ใช่รีบร้อน เร่งรัด แต่ก็รู้ว่าขาดธรรมะไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ชีวิตที่เกิดมาแต่ละวัน ก็มีเดี๋ยวอร่อย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวไปนั่นไปนี่ แล้วก็หมด แล้วมันหายไปไหน วันนี้คือเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้แน่ๆ ไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปถึงวันพรุ่งนี้ที่ไม่เหลือเลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหลือ และความจริงก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นชีวิตปกติธรรมดา สบายๆ คือไม่ถูกเร่งรัดด้วยโลภะที่จะไปทรมานตัว แต่ก็รู้ประโยชน์ของการฟังธรรมว่า ชีวิตที่ขาดธรรมะ วันนี้ทั้งวันมีอะไรบ้าง ที่เรียกว่าเป็นสาระ หรือเป็นประโยชน์จริงๆ เหมือนอย่างวันก่อนถ้าไม่ได้สนทนากัน มีเฉพาะเรื่องสนุกสนานไปโน่นไปนี่ โดยไม่ฟัง ไม่เข้าใจธรรมะ ก็ผ่านไปแต่ละวัน แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ ชีวิตของเราก็ไม่ใช่กามสุขัลลิกานุโยค เพราะเหตุว่าถึงแม้จะเป็นปกติ ยังพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ก็เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมะ เพราะว่าขาดรูปได้ไหมวันนี้ เป็นแล้ว มีแล้วมากมาย แต่ถ้าไม่ฟังธรรมะ ก็ขาดความเข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น ทางที่เป็นปกติ ถูกต้องก็คือไม่ตกไปฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คือไม่ใช่เพลิดเพลินโดยขาดการฟัง และเข้าใจธรรมะ ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ไปพยายามรีบเร่งอยากจะรู้โน่นรู้นี่ เพราะบางทีเราพูดถึงสิ่งซึ่งแสนไกล อย่าง “ปริญญา ๓” และการรู้แจ้งแทงตลอดสภาพธรรมะ และตอนนี้ยังอยู่ที่ดิน ยังติดดินอยู่ ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย แต่เราหวังว่า แล้วอย่างไรเราถึงจะไปรู้อย่างนั้นได้ นั่นก็คือโลภะ ซึ่งยังยากมาก
เพราะฉะนั้น ที่ถูกต้องที่สุดก็คือสบายๆ แต่ไม่ลืมพระธรรม แล้วเห็นประโยชน์ของธรรมะ แล้วไม่ไปรีบเร่งทรมานตัวให้ลำบาก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คความไม่รู้ แล้วยังเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วจะไปถึงปัญญาระดับนั้นได้
เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องก็มีประโยชน์ของการสบายๆ