มั่นคงบนฐานความดี


        ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่ปั่นป่วน ที่เดือดร้อน ที่วุ่นวายต้องเพราะอกุศล แม้แต่ความคิดของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน ผิดพลาดพลั้งไปเพราะอกุศล ไม่ใช่เพราะกุศล

        เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ในการที่ไม่เป็นประโยชน์เลยของอกุศล แล้วเห็นประโยชน์ของกุศล กุศลจิตสะอาดสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องในทุกกรณี พระโสดาบันที่เป็นมหาอำมาตย์มีไหม มี แล้วอย่างไรคะ เป็นไม่ได้หรือ หรือเป็นแล้วดีกว่ามหาอำมาตย์ที่ไม่ใช่พระโสดาบัน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนรากฐานของคุณความดี ถ้าเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ไม่ว่าจะเผชิญกับอะไร จิตตั้งที่รากฐานของความดีที่จะไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่ไม่ดี

        เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งก็บนรากฐานของคุณความดี ไม่ใช่ด้วยความต้องการ ด้วยความเป็นตัวตน และคิดว่าทำอย่างนั้นแหละดี นั่นคือไม่ถูกต้อง ถ้าเข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจเรื่องของความดี คนนั้นจะเป็นผู้ที่มีปัญญา มีความมั่นคง มีความละเอียด มีการรู้ปัญหา และสามารถแก้สิ่งที่เดือดร้อนวุ่นวายด้วยอกุศล มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่อกุศลไปแก้อกุศลได้

        เพราะฉะนั้น ก็ต้องมั่นคงในคุณความดี และไม่ควรฝากคุณความดีไว้กับคนอื่นให้เขาเป็นคนดี ให้คนนี้เป็นคนดีแล้วมาช่วยกัน ไม่ใช่นะคะ ตัวเองต้องดี และมั่นคง เพราะคนอื่นจะมั่นคงได้อย่างไร เขาอาจจะเข้าใจว่าอะไรดี แต่ทำไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะมั่นคงบนรากฐานของคุณความดีที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว

        เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ ช่วยโลก ช่วยทุกสถานการณ์ให้พ้นจากความปั่นป่วน ให้พ้นจากความเดือดร้อนได้ โดยที่ไม่ต้องหมุนไปตามสิ่งที่ไม่ดี ที่บอกว่าไม่คบคนพาล แต่ต้องเห็นคนพาล ต้องเผชิญหน้า ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็จะหลงว่า คนพาลเป็นคนดี แต่ปัญญาจะไม่เห็นผิดอย่างนั้นเลย ปัญญาสามารถเข้าใจถูกต้องว่า พาลเป็นพาล บัณฑิตหรือคนดีคือคนดี คนชั่วคือคนชั่ว เมื่อมีคนชั่วเผชิญหน้า ประโยชน์อยู่ที่ไหน หรือจะเสียประโยชน์ ประโยชน์อยู่ที่จิตขณะนั้น รู้ว่า เขาเป็นใคร แต่ไม่ใช่ตามเขาไป รู้ว่าเขาเป็นใคร จิตดีไหมคะขณะนั้นที่รู้ความจริง มีเมตตาดีไหม หรือมีโทสะดี มีเมตตาดีกว่า มีเมตตาหวังดี

        เพราะฉะนั้น เราไม่ควรหวังดีกับเฉพาะคนดีใช่ไหม ที่บอกว่า เจริญเมตตา เจริญเมตตา จำกัดหรือคะ หรือว่ายิ่งเจริญ มีเมตตามากเท่าไรก็ยิ่งเป็นสุขเท่านั้น ร่มเย็นเป็นสุขไม่เดือดร้อนเลย

        เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนชั่วหรือคนดี เมตตาก็สามารถเป็นมิตรหวังดี ไม่หวั่นไหว เป็นมิตรคือให้เขารู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด ไม่ใช่เป็นมิตร เขาต้องการอะไรเราก็ให้ อย่างนั้นไม่ใช่มิตร แต่มิตรจริงๆ เป็นความหวังดีจริงๆ ต้องให้เขาเข้าใจถูกต้องว่า อะไรถูก อะไรผิด เวลาที่พบคนพาล ถ้าเรามีความหวังดี มีความเป็นมิตร เราสามารถจะชี้แจงอธิบายเหตุผลให้เขารู้ว่าอะไรถูก อะไรควร แต่เขาจะทำได้หรือไม่ได้ จะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ในขณะนี้รักษาทั้ง ๒ ฝ่าย คือใจของคนที่เมตตา ไม่เดือดร้อนเลย โลกจะลุกเป็นไฟ ใครทำอะไรได้ จะท่วม น้ำจะแห้ง ใครทำอะไรได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด จะเป็นอย่างนั้น

        เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ใจมนุษย์แต่ละคน เดี๋ยวดี เดียวชั่ว เพราะฉะนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใจของเขาซึ่งชั่ว จะกลับดีได้ไหม และจะกลับดีได้เมื่อไร แต่ความเป็นมิตร ไม่ได้ทำให้เราหวังร้ายกับใครเลย ซึ่งคนที่ฟังหรือคบเรา ก็ต้องรู้ว่า ขณะนั้นเราไม่ได้โกรธ เรามีความหวังดีแล้วเราชี้แจงเหตุผล ซึ่งแล้วแต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะทำหรือไม่ทำ จะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่หน้าที่ของเรา คือ ขณะนั้นรักษาจิต ไม่ได้เดือดร้อนเลยกับความไม่ดีของใคร และมีเมตตาที่จะอนุเคราะห์ด้วย

        เพราะฉะนั้น สำหรับคนชั่ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวลาคบด้วยเหตุผลเดียว คือ เพื่ออนุเคราะห์ แต่ไม่ใช่เพื่อเห็นดีเห็นงามตามไป แต่ถ้าอนุเคราะห์ไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องคบหาสมาคมกัน

        เพราะฉะนั้น การคบหากัน ไม่ว่าคนดีคนเลยก็เพื่ออนุเคราะห์ คนที่ไม่เข้าใจว่า อะไรดีอะไรชั่ว ก็อธิบายเขาด้วยความหวังดี ขณะนั้นจิตไม่เป็นโทสะ ไม่เดือดร้อน และทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายคนที่รับฟังเรา เราไม่ทราบได้ แต่ถ้าเรามีโทสะไปใส่เขา เขาก็มีโทสะเพิ่ม แต่ถ้าเรามีความเป็นมิตร และหวังดี มีเหตุผลที่จะให้เขาได้เข้าใจถุกต้อง

        เพราะฉะนั้น ถ้าพบใครสักคนที่ชั่ว สามารถจะช่วยเขา ประเสริฐมากไหมคะ จากความชั่วให้เป็นความเข้าใจได้

        เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใคร นอกจากจะชี้แจงเหตุผลด้วยว่า นั่นไม่ดี ยังหาทางออกให้เขาด้วย ไม่ใช่ปล่อยเขาไปให้คิดเอง ซึ่งเขาคิดไม่ออกแน่ เพราะฉะนั้น คนที่รู้ คนที่เข้าใจ ก็สามารถช่วยสถานการณ์ทุกอย่างได้ด้วยจิตที่ไม่หวั่นไหว

        เพราะฉะนั้น รักษาจิตสำคัญที่สุด มิฉะนั้นแล้วก็ต่างคนต่างเป็นครู อาบน้ำโคลนกันทั้งนั้น ทั้งวัน แล้วจะสะอาดได้อย่างไร


    หมายเลข 10053
    30 ธ.ค. 2566