กระจกธรรม
พระธรรมเป็นกระจกวิเศษ กระจกอื่นไม่สามารถทำให้เห็นสภาพของจิตของแต่ละคนได้ แต่พอฟังแล้วใครจะรู้ดีกว่าตัวเอง เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า ถ้าเป็นสภาพธรรมะที่ยังน้อยมากในเรื่องของความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ในขณะนี้ มีเห็น ความเข้าใจน้อยหรือมากในเห็นที่กำลังปรากฏ มีแข็งที่กำลังปรากฏ ความเข้าใจน้อยมาก หรือเข้าใจมาก คนนั้นรู้เองที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมะ ต้องเป็นผู้ตรง เพราะว่าส่วนใหญ่ฟังด้วยความเป็นเรา แล้วคิดว่าเมื่อไรจะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมะ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะตราบใดที่จิตนั้นยังมากด้วยกิเลส ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเข้าใจ ด้วยการฟังยังเป็นเรา และเราฟัง ไม่ใช่ฟังแล้ว เป็นธรรมะทั้งหมดเลย แม้แต่คำเดียว ทุกสิ่งที่มีจริง ภาษาไทย คือมีจริง ภาษาบาลี ก็คือธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง เพียงฟังเท่านี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า จิตที่ฟังในขณะนั้น เข้าใจคำนี้แค่ไหน หรือว่าเรากำลังเข้าใจคำนี้ หรือเริ่มรู้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมะ
นี่ก็เป็นการปรุงแต่งของการฟังแต่ละครั้ง จากการฟังด้วยความเป็นเราฟัง กับเป็นการฟังด้วยการไตร่ตรอง แล้วค่อยๆ เห็นถูกตามความเป็นจริงว่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงแต่ละขั้นตอนของแต่ละคำที่ทรงแสดงไว้ ซึ่งเป็นความจริง คนนั้นก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า ยากเท่าไร ทั้งๆ ที่ทรงแสดงว่า ขณะนี้สิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป
เพราะฉะนั้น ปัญญายังน้อยมาก เพราะเหตุว่าเพียงฟัง สภาพของจิตยังไม่ได้ยังจิตให้ผ่องใส เพราะเหตุว่าความเข้าใจธรรมะยังน้อย เพราะฉะนั้น จิตอย่างนี้หรือที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความติดข้อง ความต้องการ แล้วจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เหตุกับผลต้องตรงกัน
เพราะฉะนั้น กระจก คือ พระธรรมก็ส่องให้ผู้นั้นได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ความเข้าใจแค่นี้ไม่พอ ตราบใดที่ยังเป็นเราฟังธรรมะ และเราจะรู้ธรรมะ ประจักษ์ความจริงของธรรมะเมื่อไร ขณะนั้นไม่ได้ละคลายความเป็นเรา เพราะลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่มีใครสามารถทำให้ปัญญาเกิดได้ ไม่มีใครสามารถทำให้เข้าใจลักษณะของแข็ง หรือของเห็นซึ่งกำลังเห็น กำลังแข็งในขณะนี้ ถ้าไม่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น กว่าจะละคลายความเป็นเรา ผู้นั้นก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ขั้นฟังละไม่ได้แน่ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมะก็กำลังปรากฏแล้วก็กำลังฟัง แต่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังก็ต่อเมื่อไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย แต่เมื่อฟังเรื่องใดก็กำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น ในลักษณะที่เป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น ในลักษณะที่เป็นธรรมะไม่เคยปรากฏ ฟังเพียงแต่ว่าเป็นเรื่องของธรรมะ แล้วก็มีธรรมะจริงๆ ตามเรื่องที่ได้ฟัง แต่ว่าความเป็นธรรมะซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นยังไม่ได้ปรากฏ
นี่เริ่มรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จะปรากฏต่อเมื่อไม่ใช่เราต้องการจะรู้ ไม่ใช่เราต้องการให้มีสติ และปัญญา แต่สภาพความบริสุทธิ์หรือความผ่องใสก็ต่อเมื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ขณะนั้นเป็นธรรมะซึ่งยังจะต้องฟังต่อไป และเข้าใจต่อไป และไม่ต้องกังวลว่าจะประจักษ์ความจริงเมื่อไร ถ้าปัญญาเพิ่มขึ้นมากขึ้นเมื่อไร จะค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่า ละคลายความติดข้อง เพราะเหตุว่าขณะนี้ยกตัวอย่าง แข็งปรากฏ รู้อะไร ฟังแล้วก็หมดไปแล้ว แข็งก็ยังมี แต่รู้อะไรที่แข็ง เห็นขณะนี้ก็มี ฟังเรื่องเห็นหลายครั้งแล้วรู้เห็นหรือยังว่า เห็นมีจริงๆ เพราะเป็นธาตุรู้ ไม่ต้องเรียกชื่อเลย กำลังเห็นนี่แหละเป็นอย่างหนึ่งที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
นี่คือความจริง แล้วรู้อะไรในขณะที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ตรงก็จะต้องร่า ไม่ต้องหวังที่จะรู้ แต่ฟังให้เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าการฟังแต่ละครั้งที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นการค่อยๆ คลายการไม่รู้ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมะ เพียงแต่คลายความไม่รู้ซึ่งเกิดจากการที่ไม่เคยฟังมาก่อน พอฟังมากขึ้นก็ค่อยๆ รู้ขึ้น คลายความไม่รู้ขึ้น จนรู้ว่า ตราบใดที่ไม่เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น แข็งที่กำลังแข็ง เสียงที่กำลังเป็นเสียง ได้ยินที่กำลังได้ยิน แต่ละหนึ่ง ถ้าไม่รู้เฉพาะลักษณะนั้นทีละหนึ่ง ไม่มีทางรู้ความจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรมะที่เกิดแล้วดับ