ยอมตายเพราะอะไร
ธรรมะย่อมชนะอธรรม สำหรับใคร ปัญญาที่สามารถเห็นประโยชน์ของการรู้ว่า เกิดแล้วต้องตายแน่นอน อาจจะคิดว่า อะไรสำคัญมากมายเหลือเกิน ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือการได้ทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจากบุคคลนี้ไปสู่บุคคลที่ไม่รู้เรื่องเก่าเลยสักนิดเดียว เป็นคนใหม่ แต่เป็นคนที่มีอธรรมะสะสมต่อไปอีก ก็เป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ
เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ก็คือผู้สะสมสามารถเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงตรัสรู้ความจริงของธาตุ นานาธาตุ ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เป็นแต่ละธาตุ แต่ละธาตุ มีกำลังขึ้น หรือลดถอยลงไป เช่น โลภะมีกำลัง อวิชชามีกำลัง เพราะว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมะเลย แต่เวลาที่ได้ยินได้ฟังธรรมะแล้ว ก็ยังมีกำลังเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมไป มีน้ำนมหรือน้ำผึ้งก็ได้แค่หยดเดียว มดตัวเล็กๆ มาเป็นฝูง มาจากไหนก็ไม่รู้ รวดเร็วด้วย จมูกมดคุ้นเคยกับอธรรมะ แล้วชักชวนกันแบบไหน ใครจะไปจำหน้าตามดได้ และมดแต่ละกลุ่มที่มา อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สื่อสารกันเร็วมาก มาทันทีแล้ว เดินกันมาเป็นสายๆ เพื่อนมหรือน้ำผึ้งหยดเดียว แต่มีค่ามากสำหรับเขา ยอมสละชีวิต ยอมสละทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้มีความติดข้อง มีความต้องการที่จะได้ความสำเร็จด้วยอธรรมะ ทำได้ทุกอย่าง
นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเกิดเป็นมด แม้ขณะนี้มี แล้วก็มีเสียงธรรมะด้วย ไม่มีทางเลย สะสมอธรรมที่จะเกิดมาเป็นมด ไม่สามารถเข้าใจธรรมะได้ ไม่รู้ใจมดใช่ไหมคะว่า จะยอมตายเพียงเพื่อน้ำผึ้งหยดเดียวหรือเปล่า หยดเดียวนี่มดกินเหลือเฟือเลย เพราะฉะนั้น เพียงแค่ขณะที่กำลังกินยอมตายเพียงเพื่อได้กินหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น สำหรับธรรมะก็เป็นเรื่องทุกสถานการณ์ แม้ไม่ใช่มด ใครจะยอมตายเพียงเพื่อสิ่งซึ่งเป็นโลภะ หรือยอมตายเพื่อมั่นคงในปัญญา นี่ก็ต่างกัน ถ้ามีปัญญา ไม่หวั่นไหว หวั่นเกรงความตายเลย เพราะเป็นของธรรมดา มีใครไม่ตายบ้าง แต่ก่อนตายทำอะไร ความดีหรือความชั่ว ปัญญาหรือโมหะ
เพราะฉะนั้น ถ้าคำนึงถึงว่า ไม่มีคนนี้อีกต่อไป แต่จะมีคนใหม่เป็นบุคคลอื่นทันที แล้วคนนั้นเป็นอย่างไร ก็จะมั่นคงว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความมั่นคงในธรรมะ ในคุณความดี ในปัญญาสำคัญที่สุดไม่หวั่นเกรง และมั่นคงด้วย ตายเพราะมีปัญญาที่มั่นคงก็ดีกว่ายอมทิ้งจากตายโดยไม่มีปัญญา แต่มีโลภะ