อวิชชาเป็น (ศีรษะ)
ท่านอาจารย์ พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาอวิชชาเป็นศีรษะ สำคัญไหมคะ ทุกคนที่นี่ยังมีศีรษะ ยังนั่งอยู่ได้ ยังไปไหนได้เพราะมีศีรษะ เมื่อวานนี้อวิชชาทำอะไรบ้าง คิดว่าเราทำทั้งนั้น แต่ความจริงอวิชชา และธรรมะอื่นๆ ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ตอบได้ไหมคะ เมื่อวานนี้อวิชชาทำอะไรบ้าง ทำมากมายทุกอย่าง เว้นขณะที่เป็นกุศล และเป็นผลของกรรมที่เป็นวิบากกับกิริยา นี่คือกล่าวโดยความละเอียด แต่พระสูตรไม่ต้องทรงแสดงละเอียดถึงอย่างนี้ แต่ก็สามารถทำให้เห็นความจริงซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนั้นชัดเจนว่า เมื่อวานนี้ไม่มีใครทำอะไร แต่อวิชชาทำตลอดเวลา บางคนก็คิดว่า มือทำต่างหาก ขาทำต่างหาก ปากทำต่างหาก แต่ตามความจริงแล้ว รูปทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต
เพราะฉะนั้น แม้ขณะนี้รูปก็กำลังเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก รูปเป็นรูป รูปไม่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ไม่คิด ไม่จำ ไม่มีเรื่องราวใดๆ กับรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้ขณะใดที่ไม่ใช่กุศล ขณะนั้นอวิชชาทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะเดินไปไหน หรือทำอะไร ก็เพราะอวิชชา นั่นคือเมื่อวานนี้ แล้ววันนี้ล่ะ ยังมีศีรษะอยู่ ก็ยังทำเหมือนเดิม โดยอวิชชาก็ทำไปจนกว่าจะมีอะไรที่ตัดศีรษะ อวิชชาทำงานอีกต่อไปไม่ได้เลย แต่ตราบใดที่ยังไม่มีอะไรจะตัดศีรษะให้ขาด ไม่เกิดอีกเลย อวิชชาก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา เกิดแล้วเกิดเล่า แล้วก็ทำอยู่ทุกวัน
เพราะฉะนั้น ขณะเมื่อวานนี้ก็หมดไปแล้ว ผ่านไปแล้ว โดยอวิชชาก็ทำ แล้ววันนี้ล่ะ อวิชชาทำหรือเปล่า หรือว่าพักผ่อน จิตเจตสิกไม่ได้พักเหมือนอย่างที่เราคิดเลย จิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อไม่หยุด
เพราะฉะนั้น จากขณะนี้ถอยไปแสนโกฏิกัปก็คือจิตเกิดดับสืบต่อจากที่ได้เคยเกิดแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แต่ปรุงแต่งให้ขณะนี้ใหม่ทุกขณะ โดยที่ไม่เหมือนเก่า แม้จะเป็นจิตประเภทเดียวกัน แต่สิ่งที่สะสมก็เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศล หรือทางฝ่ายอกุศล
เพราะฉะนั้น เมื่อวานนิ้อวิชชาไม่เกิดตอนไหน ตอนเข้าใจธรรมก็สะสมความเข้าใจธรรมนั้นไว้ว่า อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะปรากฏ ก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ แต่เมื่อวานนี้ก็ได้สะสมปัญญาที่ได้ฟัง และเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงว่า อวิชชาเป็นศีรษะ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีศีรษะอยู่ ก็ต้องมีการกระทำต่างๆ ตั้งแต่เช้ามาอวิชชาก็ทำงานแล้ว ตอนหลับอวิชชาทำงานหรือเปล่า นี่คือความละเอียด การฟังธรรมไม่ใช่ฟังเผิน ถ้าฟังเผิน ไม่มีทางละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเลย
เพราะฉะนั้น หลังหลับสนิท อวิชชาทำงานหรือเปล่า
ผู้ฟัง อวิชชาก็หลับด้วย
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ทำงานเลย เพราะเหตุว่าอกุศลทั้งหมดไม่เกิดกับวิบาก เพราะเหตุนั้นอกุศลเป็นชาติเดียวที่เกิดเมื่อไรเป็นอกุศล จะเป็นวิบาก จะเป็นกิริยา จะเป็นกุศลไม่ได้
เพราะฉะนั้น ขณะที่หลับสนิท จากเกิดมาแล้วมีการเห็น การได้ยิน สืบต่อมาทุกวัน จนถึงเมื่อวานนี้ ก็เป็นผลของกรรมเดียวกับที่ทำให้ให้ปฏิสนธิเป็นบุคคลนี้ ยังไม่เปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นเลย จึงเหมือนกับปฏิสนธิจิต คือ ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และเมื่อเป็นผลของกรรม ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้เลย เว้นชั่วคราวก็ยังดี พักผ่อน ตอนที่อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แต่พอตื่นขึ้นมา เห็นเป็นผลของกรรม จำเป็นต้องเห็น อยากเห็นหรือไม่อยากเห็น ก็ต้องเห็น ถึงเวลาที่กรรมให้ผลให้เห็นก็ต้องเห็น บางคนแทนที่จะได้เห็น ก็ตื่นมาได้ยิน ก็เป็นผลของกรรมที่จะให้ผลทางตา หรือทางหู
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายก็มีธาตุที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทั้งหมดถ้าศึกษาโดยละเอียดจะรู้ว่า ถ้าไม่มีปัจจัย อะไรๆ ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น การเห็นเป็นการอุปบัติเกิดขึ้นของการกระทบกันของสิ่งที่สามารถกระทบกันได้ คือ ตา จักขุปสาทที่กาย สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แล้วก็เป็นปัจจัยให้กรรมทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น เพียงเห็นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย อวิชชาก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ใดๆ จนกว่าเห็นแล้ว ถ้าโดยพระสูตร ก็จะไม่แสดงวิถีจิตโดยละเอียด แต่ให้ทราบว่า ใครบ้างที่เห็นแล้วเป็นกุศล ยากไหมคะ ถ้ารู้ว่ากุศลเป็นไปในอะไรบ้าง และในขณะที่ไม่รู้ความจริง เพราะเกิดแล้วก็ไม่รู้ แล้วก็ยึดถือสิ่งที่ปรากฏสืบต่อโดยนิมิต ซ้ำจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต เพราะความรวดเร็ว ไม่มีใครสามารถรู้ว่า ทั้งนามธรรม และรูปธรรมเกิดดับสืบต่อ ก็ทำให้เป็นเครื่องหมาย หรือเป็นนิมิตว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ยังปรากฏ เช่น ในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ เห็นเป็นอะไร ก่อนจะเป็นอะไรนั้น อวิชชาทำหน้าที่แล้ว คือ ไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เป็นผู้ที่มีเหตุที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน ทำให้รู้ว่า สิ่งใดควรฟังอย่างยิ่ง ควรเข้าใจอย่างยิ่ง และยากอย่างยิ่งที่จะเข้าใจได้ แต่ก็สามารถจะเข้าใจได้ แต่ต้องมีศรัทธา และความอดทน และเข้าใจถูกต้องว่า รู้ดีกว่าไม่รู้แน่นอน เพราะว่าประโยชน์มาก มิฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็เป็นผู้มีศีรษะ คือ อวิชชา แล้วทำทุกอย่างด้วยอวิชชา
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็เป็นการสะสมอาวุธที่จะตัดศีรษะ แต่อาวุธนี้แค่ไหน ยังไม่ตัดไม่ได้แน่ เพราะเหตุว่าศีรษะนี้ใหญ่มาก แล้วก็เหนียวหนาแน่นมาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องอาศัยปัญญา ความเข้าใจ
เพราะฉะนั้น เข้าใจเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย