จะแต่งงานดีไหม
ผู้ฟัง การมีคู่ครองจะมีโทษอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องการคำตอบ และจะทำตามคำตอบ หรืออย่างไรคะ จะมีใครรู้จักคุณอภิสิทธิ์ดีกว่าคุณอภิสิทธิ์เองหรือเปล่า แล้วใครจะให้คำตอบ กิเลสก็ยังมีอีกเยอะตั้งแต่ชาติก่อน จนกระทั่งชาตินี้แล้วต่อไปก็ยังไม่หมดเลย แต่อาศัยการฟังธรรมะเข้าใจ จะรู้จักตัวเอง
ด้วยเหตุนี้พุทธบริษัทจึงมีภิกษุ และสมัยนี้ไม่มีภิกษุณี แต่ก็มีสามเณร แล้วก็มีอุบาสก อุบาสิกา บรรดาอุบาสกอุบาสิกาก็ต่างกันตามอัธยาศัย คืออุบาสกอุบาสิกาที่ครองเรือนก็มี ที่ไม่ครองเรือนก็มี ไม่มีใครสามารถบังคับใครได้ แต่ให้ทราบว่า ทุกอย่างที่เกิดมีปัจจัยที่จะเกิด อยากจะทำอะไรก็ไม่สามารถจะทำได้ อยากจะหมดกิเลสก็ไม่สามารถจะหมดกิเลสได้ แต่ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้น การที่เราสามารถเข้าใจธรรมะว่าเป็นธรรมะ ก็จะรู้ตามความเป็นจริงที่ได้สะสมมาว่า ได้สะสมมาอย่างไร หรือมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปทางไหน ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ รู้ไหมคะว่า พรุ่งนี้จะเป็นอะไร รู้ไหมคะว่า กี่ ๑๐ ปีจะมีลูกมีหลาน ก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ อะไรจะเกิดก็เกิด หรืออีก ๕ ปีก็จะตาย ก็ไม่มีใครรู้อีก
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถรู้สิ่งที่ยังไม่เกิด แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เกิดแล้ว แสดงถึงปัจจัยที่ได้สะสมมา ฟังธรรมะแล้วเข้าใจซาบซึ้งเพราะเคยฟัง แต่ก็รู้ว่า เป็นธรรมะซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นธรรมะที่เกิดแล้ว ปัญญาก็สามารถทำให้รู้ว่า ชีวิตของตัวเองไม่ใช่ของคนอื่นจะเป็นไปในทางใด ที่จะเป็นไปได้ เพราะบางคนก็เห็นโทษของการครองเรือน เพราะว่าพออายุมากๆ เข้าก็ไม่แต่งงานดีกว่า ไม่ต้องมีลูกหลานให้ลำบาก แต่ก็แต่งไปแล้วมีลูกมีหลานมากมาย
เพราะฉะนั้น คิดทีหลัง แต่ก่อนนั้นไม่ได้คิด หรือคิดแล้ว แต่กำลังของกิเลสก็มีมาก เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ประมาท ความประมาทเป็นทางแห่งความตายจริงๆ ตายที่นี่ ตายจากความสุขก็ได้ ตายจากความเป็นอิสระ ไม่เป็นทาสของใครเลยหรืออะไรเลยทั้งสิ้นก็ได้
เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่กำลังของปัญญาที่สามารถเข้าใจตัวเองตามความเป็นจริง แล้วก็รู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นธรรมะด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ว่า เพียงฟังแล้วก็รู้ว่ามีกิเลส แล้วได้ฟังธรรมะ เข้าใจ และเห็นประโยชน์ ซาบซึ้ง จนกระทั่งสามารถรู้จักตัวเองที่สะสมมาที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้นตามความเป็นจริง แล้วก็โทษใครไม่ได้ เพราะประมาท
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ประมาทจริงๆ ไม่เป็นทุกข์ ตอนนี้อยู่เป็นสุขไหมคะ ภาษาไทยส่องไปถึงความเข้าใจธรรมะด้วย ขณะใดที่เป็นอกุศลทุกประเภท ไม่ว่าประเภทไหน อยู่ไม่สุขแน่ๆ มีทรัพย์สมบัติเงินทอง พี่น้อง บริวาร ก็อยู่ไม่สุข คิดโน่น คิดนี่ ทำโน่น ทำนี่ ที่เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะอยู่ไม่สุข เพราะไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ
นี่เป็นประโยคที่ภาษาไทยใช้ดั้งเดิมมาแล้ว แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็รู้ว่า อยู่ไม่สุขจริงๆ เมื่อมีกิเลสหรืออกุศลจิตเกิดขึ้น
อีกคำหนึ่ง “อยู่เย็น เป็นสุข” ต่างกันแล้ว อยู่เย็น ไม่ร้อนเลย “อยู่เย็น เป็นสุข”ในขณะที่เป็นกุศล
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ยิน จริงๆ แล้วสามารถเข้าใจความจริงได้ในความเป็นจริง แต่เพราะไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็พูดตามๆ กัน แต่ไม่ลึกซึ้งที่จะรู้ว่า อยู่ไม่สุข จริง และ“อยู่เย็น เป็นสุข” ก็จริง อย่างไหนดีกว่ากัน ถ้าไม่เข้าใจธรรมะจริงๆ ก็คิดไม่ออก หรือถ้าไม่มั่นคงในธรรมะ ก็จะถูกกิเลสที่สะสมมาชักจูงไป น้อมไป
เพราะฉะนั้น ความไม่ประมาทสำคัญที่สุด เป็นปัจฉิมวาจาก่อนจะปรินิพพาน แสดงว่าคำนั้นมีความสำคัญยิ่ง ในคำสอนทั้งหมดประมวลแล้วก็คือว่า ไม่ประมาท