ปัญญารักษาตน


        คงไม่ลืมความเป็นผู้ละเอียดในการฟังพระธรรม หรือแม้แต่ในการศึกษา การอ่านพระธรรม เช่นข้อความที่ว่า ข้าพเจ้าปรารถนาวาจาของพระองค์ ไม่ใช่วาจาของคนอื่นเลย

        เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ละเอียดอย่างยิ่ง และทุกคนที่มาเคยคิดถึงไหมว่า มาเพราะปรารถนาวาจาของพระองค์

        เพราะฉะนั้น ทุกคำมีประโยชน์มาก อย่างเช่นข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงมีปัญญารักษาตน”

        รักใครที่สุด ไม่มีอะไรยิ่งกว่านั้นที่ต้องการจะรักษาตน แต่รักษาแบบไหน รักษาแบบให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย เพื่ออะไร เห็นไหมคะ ทุกคำต้องละเอียด และต้องคิดว่า ทุกคนอยากมีร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องการป่วยไข้ เพื่ออะไร ชาวโลกก็ต้องตอบแบบหนึ่ง แต่จะมีชีวิตแข็งแรงเพื่ออะไร เพื่อมีกิเลสมากๆ มีอกุศลมากๆ และไม่รู้ความจริง ไม่รู้จักแม้แต่คำว่า “ปัญญารักษาตน”

        นี่แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ปัญญาก็คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ถ้าไม่มีปัญญา รักษาได้แต่ร่างกาย แต่รักษาใจไม่ได้เลย แม้แต่ขณะนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิดแต่ว่าเป็นเรา แต่ตามความเป็นจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เป็นธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏเพราะเกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะติดข้องในตนมากมายไหม หรือแม้แต่การรักษาตนก็จะรู้ว่า ที่รักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่อประโยชน์ในการเข้าใจความจริง เพราะความจริงแม้กำลังปรากฏก็ยากแสนยากที่จะรู้ แม้แต่คำพูดที่ชินปาก “ทุกอย่างเป็นธรรมะ” ไม่เห็นมีใครไม่พูด ดูง่ายเหลือเกิน แต่เดี๋ยวนี้เห็นเป็นธรรมะหรือเปล่า คิดเป็นธรรมะหรือเปล่า ได้ยินเป็นธรรมะหรือเปล่า จนกว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เมื่อนั้นก็ชื่อว่า ได้รู้จักตนว่า แท้ที่จริงก็เป็นธรรมะ

        เพราะฉะนั้น จะรักษาธรรมะฝ่ายไหน มีธรรมะ ๒ฝ่าย ธรรมะที่เป็นกุศลฝ่ายดี ธรรมะที่เป้นอกุศล ฝ่ายตรงกันข้าม ชั่ว ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์ แล้วทุกวันนี้รักษาธรรมะฝ่ายไหน เพราะไม่รู้จักตนว่า แท้ที่จิรงแล้วเป็นธรรมะที่เกิดขึ้นแล้วเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นเหตุให้เกิดผล คือ เป็นเหตุให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วก็ไม่รู้ และติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นเหตุให้เพิ่มความไม่รู้ยิ่งขึ้น

        ในคราวก่อนคงจำได้ว่า พูดถึงว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย ชีวิตก็ราบเรียบเหมือนคลื่น ยังไม่แรงมากเลย ระลอกนิดๆ หน่อยๆ แต่พอมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ขณะนั้นเรื่องใหญ่ไหมคะ เรื่องใหญ่เพราะกิเลสใหญ่ เพราะอะไรคะ เพราะเรื่องนั้นคุ้ยกิเลสออกมาให้เห็นว่า มีแค่ไหน ตามกำลังของกิเลสในขณะนั้น ซึ่งไม่ใช่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ คุ้ยออกมาดู หรือออกมาทำอะไร ออกมาปรุงแต่งให้มากยิ่งขึ้นด้วยความเป็นอกุศล

        เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า กิเลสก็มีให้รู้ให้ดู เพื่อให้เข้าใจถูก ปัญญาที่จะรักษาธรรมะคือตน คือไม่มีเรา แต่มีธรรมะ ๒ ฝ่าย คือ กุศล และอกุศล

        เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าแต่ก่อนนี้ไม่เคยคิดเลย เหตุการณ์ต่างๆ ทำไมดูสำคัญมากมายเหลือเกิน เพราะขณะนั้นอะไรคิดว่าสำคัญ กิเลสสำคัญใช่ไหมคะ คิดว่าเรื่องนั้นๆ สำคัญมาก แล้วถ้ายิ่งเป็นเรื่องไม่ดี ก็ยิ่งโกรธมาก ใจเต้นก่อน แล้วกายวาจาก็เต้นตาม คุ้ยออกมาส่งเสริมปรุงให้เข้มข้น ให้มากขึ้น แล้วก็กลับไปสู่จิต สะสมสืบต่อทุกขณะที่กุศลจิต และอกุศลจิตเกิด อย่างนี้รักษาตนหรือเปล่า แต่ถ้ารักษาตน ปัญญาที่รู้ความจริงก็จะทำให้ละคลาย ลด บรรเทา และเห็นว่า อะไรแน่ที่เป็นประโยชน์ของการเกิดมาในโลกนี้ เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ ไม่พิการ ไม่บ้าใบ้บอดหนวก ฟังเข้าใจในภาษาที่ใช้อยู่ทุกวัน

        เพราะฉะนั้น ก็สามารถสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เมื่อปัญญารู้ความจริงอย่างนี้จะทำชั่วไหม เพราะเหตุว่าอกุศลเป็นอกุศล และกุศลเป็นกุศล


    หมายเลข 10073
    30 ธ.ค. 2566