ตื่นหรือยัง


        คำนี้ก็มีในพระไตรปิฎก พุทธะ ทุกคนก็รู้จักความหมายของพุทธะ แต่ว่า ตื่น แค่นี้ก็จะงง หรืออาจจะไม่รู้จริงๆ เราก็ตื่นอยู่ไม่ใช่หรือ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตื่นจากกิเลส ความหมายเพิ่มเติมแล้วใช่ไหม

        กิเลสสามารถรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้ไหมว่า นี่สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถไปดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ใครจะรู้ได้ ไม่หลับใช่ไหมคะที่ไม่รู้ความจริง เหมือนหลับ คนหลับใครทำอะไรที่ไหนรู้ไหมคะ ไม่รู้เลย แต่นั่นคือหลับ แต่เดี๋ยวนี้ตื่น ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดดับก็ไม่รู้

        กิเลสไม่สามารถรู้ความจริง เพราะเหตุว่าความไม่รู้ก็เป็นกิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏได้

        ใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ผู้นั้นหลับ ไม่ตื่น เหมือนคนหลับเลย ไม่รู้อะไรตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น หลับด้วยกิเลส กิเลสหลับแน่ๆ กิเลสไม่สามารถตื่นขึ้นรู้ความจริงว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ เสียงก็ปรากฏให้ได้ยินว่ามีเสียงจริงๆ แล้วดับ คิดเกิดขึ้นให้รู้ว่า คิดมีจริงๆ แล้วดับ สิ่งต่างๆ เหล่านี้กิเลสไม่สามารถรู้ได้เลย เพราะฉะนั้น จึงเหมือนคนหลับ แม้ตื่นก็เหมือนหลับ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เลย

        แม้แต่คำว่า “พุทโธ” ก็ไม่รู้ว่า ผู้ตื่น ก็ได้ยินก็ผ่านไป แต่ถ้ารู้ว่า ตื่นจากกิเลส เพราะเหตุว่ากิเลสไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลย และเดี๋ยวนี้ที่กำลังฟังธรรมะ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ตื่นหรือยัง ต้องไตร่ตรอง ยากไหมที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ตื่นหรือยัง เวลาหลับแล้วฝัน ขณะที่ฝัน ตื่นหรือยัง หลับสนิทเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วฝัน ขณะที่ฝันตื่นหรือยัง ตอบก็ยาก ใช่ไหมคะ แม้แต่จะคิด ก็มีทั้งหลับไม่รู้อะไรเลย แล้วมีทั้งฝัน แล้วก็ยังมีตื่นอีก ไม่เหมือนฝัน

        เพราะฉะนั้น ก็มีระดับที่ต่างกัน หลับคือไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ฝันก็ยังรู้บ้าง แต่ไม่เหมือนตื่น

        ขณะที่กำลังเริ่มฟังพระธรรม ยังไม่ตื่น หรือตื่นแล้ว กำลังฟังพระธรรมไม่ใช่หลับเลย แต่ยังไม่รู้อะไร ก็ยังเหมือนได้ยินในฝัน คือ เรื่องราวต่างๆ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ เหมือนฝัน ถ้าตื่นจริงๆ รู้ลักษณะที่เป็นจริงในขณะนั้นตามความเป็นจริง นั่นแหละค่ะเริ่มตื่น และอบรมความรู้ถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง

        พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ไม่ลืมว่า การฟัง ฟังเพื่อเข้าใจ อย่าหลงไปปฏิบัติ หรือไปทำอะไรที่ไม่สามารถจะรู้ และเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำให้พระศาสนา คือ คำสอนค่อยๆ จางหาย และอันตรธานไป เพราะเหตุว่าไม่สามารถแยกออกว่า คำที่ได้ยินเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นคำของใคร แต่เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง จริง การอบรมเจริญปัญญาต้องลึกซึ้ง และจริงด้วย

        แม้แต่คำว่า “ตื่น” ข้ามไป ก็ไม่รู้ว่า หมายความว่าอะไร ใช่ไหม ตื่นจากกิเลสหรือยังหลับ แล้วแว่วๆ ได้ยินได้ฟัง แว่ว นี่ชัดไหม ไม่ชัด แต่เวลาได้ยินชัด เจน แม้ในฝันก็มี แต่ถึงอย่างไร ได้ยินในฝันก็ไม่เหมือนที่กำลังได้ยินในขณะนี้

        แต่ละคำ ในวินัยปิฎก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องข้อประพฤติปฏิบัติของบรรพชิตก็ต้องอาศัยพระสุตตันตปิฎก ประโยชน์ของพระพุทธพจน์ทุกคำซึ่งเป็นวาจาจริง วาจาสัจจะที่ทำให้สามารถดำรงในคุณความดีเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น และละคลายอกุศล เพราะแต่ละคนที่นี่รับรองได้ว่า มีกิเลสมากๆ ไม่มีทางพ้นได้เลยถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจด้วย ไม่ใช่ฟังเผินๆ

        ต่อไปนี้ ชีวิตจะยาวสั้น มากน้อยสักเท่าไรก็ตาม ประโยชน์แท้จริงคือเข้าใจพระธรรม


    หมายเลข 10078
    30 ธ.ค. 2566