ไม่อยากซะเลยดีกว่า


        ท่านอาจารย์ การไปรู้ว่า โลภะไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมะ เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมะว่าเรา ก็ยากที่จะถึงได้ ไม่ใช่พอได้ฟังก็สามารถทำได้ ถึงได้ ละได้ แม้แต่เพียงไม่ประมาทที่จะเห็นว่า โลภะเป็นโทษ แต่ต้องการโลภะอยู่เสมอ แสดงว่าอย่างไรคะ เห็นหรือไม่เห็นว่า โลภะเป็นโทษ กำลังต้องการโลภะ แสดงว่าไม่เห็นเลยว่า โลภะเป็นโทษ เพียงรู้ว่า ทุกวันที่มีสุข เพลิดเพลิน ติดข้อง เห็นโทษหรือเปล่าในขณะที่ติดข้อง

        เพราะฉะนั้น เพียงแค่ไม่ประมาท โดยกว่าจะเห็นโทษว่า ความติดข้องเป็นโทษจริงๆ ถ้าไม่ติดข้อง ละโลภะ และละอวิชชา โลกสงบ โดยประการทั้งปวง เพราะเหตุว่าดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลย

        เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดที่ยังติดข้อง แสดงว่าเพราะยังไม่รู้ และยังไม่เห็นโทษของความติดข้อง ไม่เห็นโทษของการเกิดขึ้นของสภาพธรรมะ

        เพราะฉะนั้น การฟัง ไม่ใช่ให้ใครไปทำอะไร แต่ให้เข้าใจถูกว่า เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่กว่าจะเข้าใจในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน จะเห็นว่าเป็นโทษได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนั้นสภาพนั้นเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วดับ

        เพราะฉะนั้น ทุกคำก็ต้องสืบเนื่องกันไป จากฟังธรรมะ แล้วเข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงซึ่งรู้ยาก และต้องอบรมจนกว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ไม่ใช่เพียงฟังแล้วใครเห็นโทษของโลภะบ้าง ถามจริงๆ ก็ต้องตอบจริงๆ ว่า มีใครเห็นโทษของโลภะบ้าง คุณคำปั่นเห็นโทษของโลภะหรือยังคะ

        อ.คำปั่น ยังไม่เห็นเลยครับ

        ท่านอาจารย์ จะเห็นได้อย่างไร ก็ชอบไปหมด เดี๋ยวนี้เองก็กำลังชอบ ดอกไม้ก็สวย อะไรก็ดีไปหมด แล้วจะเห็นโทษได้อย่างไร แต่จากการฟังพระธรรม ลองคิดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ชอบเสียเลยจะดีกว่าไหม ไม่เดือดร้อนที่จะต้องชอบ แม้แต่ความติดข้องก็เดือดร้อน แต่ถ้าไม่หวั่นไหว แล้วเห็นอะไรก็ตามแต่ ไม่ติดข้องในสิ่งนั้น แต่ต้องเป็นเพราะปัญญา ไม่ใช่เรา ยังมีเรา แล้วพยายามไม่ติดข้อง นั่นก็ไม่ถูกต้อง

        เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะเพื่อเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะมั่นคง ถ้าขณะใดที่เข้าใจมั่นคงขึ้น ก็จะเข้าใจหนทางที่สามารถไม่มีโทษภัย คือ อกุศลทั้งหลายได้ แต่ต้องละเอียด และไม่ประมาท

        เดี๋ยวกลางวันจะรับประทานอะไรคะ เตรียมกันไว้หรือยัง ของชอบ ยังไม่ทันได้รับประทานก็ชอบ เห็นโทษไหมว่า อะไรก็ได้ ขณะนั้นมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เดือดร้อนไหม ของชอบไม่มี หมดแล้ว เดือดร้อนไหมคะต้องไปแสวงหาอีกหรือเปล่า นี่คือกว่าจะเห็นโทษในชีวิตประจำวันจริงๆ ก็คือฟังพระธรรมต่อไป แล้วก็เข้าใจขึ้น แล้วก็ละความต้องการที่อยากจะถึง อยากจะรู้ อยากจะดับ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างเดียว คือ สะสมความเข้าใจสืบต่อ เพราะว่าไม่ได้สูญหายไปไหนเลย แล้วก็จะถึงสัทธรรมนิยาม คือ สภาพธรรมะที่มีจริงซึ่งเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกตามลำดับ ก็จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้แน่นอน

        อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่อยากซะเลยดีกว่า กราบเรียนว่า ยังไม่ซาบซึ้งครับ

        ท่านอาจารย์ คุณอรรณพชอบความติดข้อง ยังไม่เห็นว่า ถ้าไม่ติดข้องเลยจะดีกว่าไหม ระหว่างติดข้องกับไม่ติดข้อง อะไรดีกว่า

        อ.อรรณพ ความติดข้องไม่ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อติดข้องแล้วได้ตามที่ติดข้องก็เพลิน

        ท่านอาจารย์ แล้วก็จากไปหรือเปล่า สิ่งที่ติดข้องยังเป็นของเราหรือเปล่า

        อ.อรรณพ จากไป แต่ก็มีสิ่งใหม่มาให้ติด

        ท่านอาจารย์ ทุกข์ไหมคะตอนจากไป ติดข้องแล้วก็ไป ไม่เหลือ ไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป พลัดพรากจากสิ่งที่ติดข้อง ทุกข์ไหม ง่ายๆ นะคะ วันนี้อยากรับประทานอะไร แล้วไม่มี เดือดร้อนไหม

        อ.อรรณพ เดือดร้อนครับ

        ท่านอาจารย์ ดีไหมคะ

        อ.อรรณพ ไม่ดี

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความติดข้องทำให้เกิดความทุกข์หรือเปล่า อยากจะมีทุกข์ หรือไม่อยากมีทุกข์

        อ.อรรณพ ไม่อยากมีทุกข์

        ท่านอาจารย์ ก็ต้องไม่ติดข้อง ต้องรู้ก่อนว่า อะไรจริง และเหตุที่จะทำให้ไม่ติดข้องมีไหม ถ้าไม่มีก็ต้องติดข้องไปเรื่อยๆ แต่เหตุที่จะไม่ให้ติดข้องมี ไม่ประมาทที่จะรู้ว่า อะไรทำให้ไม่ติดข้องได้ แล้วไม่ติดข้องสบายไหม แต่ถึงความไม่ติดข้องได้ แต่ยาก เพราะเหตุว่าเคยติดข้องมานาน

        เพราะฉะนั้น ก็ไม่ประมาทในหนทางซึ่งยากแต่เป็นไปได้จริงๆ สัทธรรมนิยาม พึ่งได้แน่นอน คือ พระธรรมที่ทรงแสดงความจริง


    หมายเลข 10079
    19 ก.พ. 2567