เมื่อไหร่จะรู้แจ้งสัจจธรรม
ก็คงไม่มีใครกล่าวว่า แล้วเมื่อไรจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะว่ายากแสนยาก แม้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เห็น เห็นใคร ลืมอีกแล้วว่า เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ กี่ครั้งที่ได้ฟัง และขณะนี้ก็กำลังเห็น แต่คำที่ได้ยินได้ฟัง ยังไม่เข้าถึงด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยความเห็นถูกจริงๆ ว่า ขณะนี้คือธรรมดาอย่างนี้ คือ เห็นอย่างนี้ ความจริงก็คือว่า เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้น คงจะไม่คำถามว่า อีกเท่าไร นานเท่าไร หรือเมื่อไรจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะเมื่อไรคือเดี๋ยวนี้ เข้าใจถูกต้องว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จึงเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงธรรมะชนิดหนึ่ง มีจริง เพียงสามารถกระทบตา ปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ความจริงแท้ของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ในขณะนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะเพื่อรู้ความจริงว่า สิ่งที่มีจริงๆ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยหลงเข้าใจผิดนานแสนนานในสังสารวัฏ
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น แต่ละคำประมาทไม่ได้เลย และคงไม่ลืม การบูชาสูงสุด ไม่ใช่บูชาด้วยเครื่องบูชาทั้งหลาย ดอกไม้ ธูปเทียน เพชรนิลจินดา แต่ต้องบูชาด้วยความเข้าใจธรรมะ จากพระธรรมที่ฟังโดยไตร่ตรอง โดยไม่ประมาทในความห่างไกลกันของปัญญาของผู้ที่เพียงเริ่มฟังกับพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ แม้แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อีกนานไหมคะกว่าจะไม่เห็นคุณวิชัย แต่ความจริงเห็นคุณวิชัยไม่ได้ แต่รู้ว่า เป็นคุณวิชัยได้
นี่คือความละเอียดยิ่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ถูกหรือผิด ถูกต้อง แล้วก็รู้ว่าเป็นคุณวิชัย ถูกหรือผิด ก็ถูกต้อง เพราะเหตุว่าหลังจากที่เห็นดับแล้ว ก็มีธรรมะซึ่งจิตเป็นปัจจัยให้เกิดทันทีที่จิตดับไป เช่น จิตเห็นต้องดับแน่ เร็วมากด้วย สุดจะประมาณได้ กว่าจะเป็นแต่ละนิมิต รูปร่างสัณฐานที่จะปรากฏให้รู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดดับเท่าไรล่ะคะ เกิดดับนับไม่ถ้วน ไม่ต้องไปคำนึงถึงขณะจิต ไม่ต้องไปคำนึงถึงอะไรเลย เพียงฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า อยู่มาในโลก ในสังสารวัฏแสนนาน แต่โอกาสที่จะได้ฟัง และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ คือในขณะนี้เมื่อไตร่ตรอง แล้วก็ไม่รู้ว่า จะได้ฟังอีกมากน้อยเท่าไร
เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตที่ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏแล้วก็ดับไป ปัญญายังไม่เข้าถึงความไม่เที่ยงซึ่งเป็นทุกข์ เพราะเพียงปรากฏ แล้วดับ แล้วไม่เหลือ ก่อนเสียง ไม่มีเสียง เสียงเกิดปรากฏแล้วดับไป แล้วเสียงนั้นไม่ได้กลับมาอีกเลย และไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง ทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่เกิดดับสืบต่อเร็วมากจนกระทั่งยากจะรู้ได้
เพราะฉะนั้น การเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม ก็จะรู้ได้ว่า เหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา หมายความว่าตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพาน แม้แต่คำสุดท้าย พระปัจฉิมวาจาก็ยังทรงเตือนว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ฟังแล้วเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องไปถึงว่า แล้วเมื่อไรจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แล้วจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมแม้ในขั้นฟัง ต้องไม่ประมาทเลย นี่คือกว่าคำที่ได้ยินได้ฟังจะสะสมอยู่ในจิตจนกระทั่งมีกำลัง เพราะเหตุว่าถ้าจะพิจารณาจิตของแต่ละคน ไม่ว่าใครมีความไม่รู้ ประมาทไม่ได้ ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไร ได้ยินเมื่อไร ได้กลิ่นเมื่อไร ไม่รู้ทั้งนั้น ใช่ไหม แล้วไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง สะสมสืบต่อไปอีก เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากมายมหาศาล เป็นปัจจัยให้กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นมากมายมหาศาล ถ้าจะอุปมา มืดสนิท คือ แม้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ไม่ได้รู้ความจริงด้วยความเข้าใจถูกว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงเท่านั้นเลย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด และไม่ใช่ของใครด้วย แล้วไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏมากมายไหมแต่ละวัน เห็นมากเหลือเกิน ได้ยินก็มาก ได้กลิ่นก็มี ลิ้มรสก็มาก คิดนึกเรื่องราวตามสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่รู้ความจริงเลย
เพราะฉะนั้น เมื่อจิตนั้นดำด้วยความไม่รู้ เพราะมืดสนิท แล้วก็สกปรก ไม่สะอาดเลย เป็นโรคอีกมากมาย ยากจะรักษาได้ แล้วจะกล่าวว่าเมื่อไรจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม จิตขณะนั้นเป็นอย่างนั้นไม่สามารถรู้ได้เลย แล้วอะไรจะค่อยๆ ชำระล้างความสกปรก ความไม่สะอาด และความมืด ให้ค่อยๆ จางลงไปทีละเล็กทีละน้อย อย่างเดียว คือ ปัญญา ถ้าไม่มีความเห็นถูก ความไม่รู้หมดไปไม่ได้ ความไม่รู้กับความรู้ต่างกัน ความเห็นถูก คือ ความรู้ ความไม่รู้จะเห้นถูกไม่ได้
เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อเกื้อกูลให้ได้รู้จักจิตของแต่ละคนในขณะนี้ เพื่อจะรู้ว่า อะไรจะค่อยๆ ชำระจิตที่ไม่สะอาด เป็นโรคต่างๆ แล้วมืดสนิทให้ค่อยๆ น้อยลงไป ก็ด้วยการเข้าใจพระธรรม ซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้