ยังไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ


        อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ในประเด็นนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ และใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

        ท่านอาจารย์ คำหนึ่งที่ทุกคนน่าจะคิดแล้วไม่ลืมคือว่า กำลังไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ แน่นอนเลยว่าไม่ว่าอะไรในขณะนี้ กำลังเห็น ยังไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของเห็น กำลังได้ยิน ใครรู้ลักษณะที่แท้จริงว่า ได้ยินเกิดได้ยินแล้วดับไป

        เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ฟังก็จะมีปัญญาของตนที่จะรู้ว่า ได้ฟังมานานแสนนาน เข้าใจเรื่องที่ได้ยิน หรือเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้จริงๆ เพื่อที่จะไม่ลืมว่า เราฟังมาก ข้อความในพระไตรปิฎก พระสูตรต่างๆ พระอภิธรรม พระวินัย ก็ยังไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ

        เพราะฉะนั้น ฟังต่อไปอีกเพื่อเพิ่มความเข้าใจจนกระทั่งเข้าใจมั่นคงว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังไม่รู้ ฟังเรื่องสิ่งที่มีแล้วเหมือนรู้มากในเรื่องของสิ่งที่มี แต่ขณะเห็นไม่รู้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่เราที่เห็น แต่เป็นธรรมะ

        เพราะฉะนั้น ตลอดกี่ปีก็ตาม ปีนี้กำลังจะเป็นปีก่อน แล้วปีหน้าก็กำลังจะเป็นปีใหม่ แต่ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง แล้วก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า แม้ฟังมานาน ทุกอย่าง ข้อความต่างๆ แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่รู้ยาก ฟังเหมือนเข้าใจ มีจริง ใครไม่เข้าใจบ้าง กำลังมีจริงๆ มีจริง แต่ว่าไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่า เป็นสิ่งนั้นอย่างมั่นคง เป็นคนนั้น เป็นเรื่องนั้น เป็นสิ่งนี้ เป็นเรื่องนี้ แต่ตามความเป็นจริงไม่ได้เข้าใจธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏให้คิด ให้จำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

        เพราะฉะนั้น กว่าจะได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจธรรมะที่มีจริงที่กำลังปรากฏ และกว่าจะเข้าใจได้นานมาก เพราะเหตุว่าเราสะสมความไม่รู้มานาน

        เพราะฉะนั้น ก็เป็นการเตือนให้เข้าใจถูกต้องว่า เราไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจนถึงที่สุดตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จนกว่าปัญญา ความเข้าใจค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ไม่ใช่ไปหวังว่าจะรู้ เหมือนไปหยิบดาวบนฟ้าเอามาเล่นเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ไกลแสนไกลยิ่งกว่านั้น เพราะเหตุว่าอวิชชาเป็นสภาพที่ไม่รู้ปิดบังมานานแสนนาน ซึ่งทุกคนฟังแล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ แต่เป็นคน แล้วก็เป็นวัตถุ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าจะได้ฟังธรรมะโดยละเอียดจริงๆ แล้วก็รู้ว่า นี่คือสิ่งที่มีจริงที่ยังไม่รู้ แต่ต้องอาศัยการฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ แล้วก็รู้ว่า ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยกำลังสะสม อย่าลืมนะคะ จิตขณะนี้เป็นนามธรรม ไม่มีใครเห็น แต่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงว่า มีความติดข้องเพราะความไม่รู้แล้วทั้งวัน และมีกิเลสอื่นๆ อีกมากมาย ไม่รู้ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ใครเลย ก็มีความสำคัญตน

        เพราะฉะนั้น อกุศลทั้งหลายก็มาจากความไม่รู้ทั้งสิ้น แล้วเราฟังเพื่อเข้าใจพระปัญญาตุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงพระมหากรุณาให้เราได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรถ้าไม่ฟัง เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อเป็นผู้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี หรือจะเป็นเทวดา เป็นพรหม ทั้งหมดก็ไม่ใช่รู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

        เพราะฉะนั้น แต่ละขณะที่ปัญญา ความเห็นถูกเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้ เพราะเหตุว่าสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มี ซึ่งกี่คนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วพิจารณาพระธรรม โดยรู้คุณค่าของพระธรรมว่า แต่ละคำที่ได้ฟังมีค่า เพราะได้เข้าใจขึ้น แล้วกำลัวสะสมความเห็นถูก ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงให้เห็นความเห็นผิดได้ในขณะที่ความเห็นถูกค่อยๆ เกิดขึ้น

        เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องอบรม ไม่มีใครสักคน แต่มีธาตุ เพียงคำว่า “ธาตุ” หรือ ธา – ตุ กว่าจะรู้ได้ว่า เป็นธาตุจริงๆ จะกล่าวโดยนัยอะไรก็ได้ เช่น ขณะนี้มีธาตุไม่รู้ ไม่ใช่คุณคำปั่น ไม่ใช่ใคร แต่ธาตุนี้มีจริง เพราะว่ามีเหตุแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ธาตุไม่รู้ก็คือไม่รู้เหมือนกันหมดเลย ไม่ใช่จะต่างกัน

        เพราะฉะนั้น ไม่มีชื่อเฉพาะว่า เป็นคนนั้นคนนี้ ทุกอย่างที่เป็นธรรมะก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป


    หมายเลข 10084
    29 ธ.ค. 2566