คุณธรรมต่างขั้นกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำว่า ไม่พักไม่เพียร ถ้าเราจะฟังเผินๆ แล้วก็คิดว่าเข้าใจแล้วๆ แต่ว่าถ้าเราจะพิจารณา จากชีวิตของเรา ตามความเป็นจริงในขณะนี้ กำลังพักหรือเปล่า ที่กำลังฟังธรรม ไม่ได้พักใช่ไหม เพราะว่าถ้าพักก็คือ จม ไม่สนใจเลย เป็นอนัตตา บางคนบอกว่าไม่ต้องทำอะไร เพราะเป็นอนัตตา สรุปไปเลย หมายความว่าไม่มีการที่จะพัฒนา ไม่มีการอบรม ไม่มีการที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ต้องฟังธรรมด้วยความละเอียดจริงๆ ไม่พัก เพราะว่าถ้าพักก็คือ จม ไปเที่ยวเพลิดเพลินสนุกสนาน
แต่ว่าขณะนี้ทุกคนอยู่ที่นี่ คงจะไม่ทราบว่า ทั้งหมดเป็นจิต และเจตสิกทั้งนั้น เป็นเจตสิก ที่เป็นโสภณเจตสิก เวลาที่กุศลจิตเกิด ไม่ได้พัก แต่ว่าไม่ได้เพียรด้วย เพราะเหตุว่าถ้าเพียร ก็ไปนั่งทำอะไรในห้อง จดจ้องดูโน่นดูนี่ อยากจะประจักษ์การเกิดดับของนามรูป ซึ่งเป็นหนทางที่ผิด แต่ว่าด้วยปัญญาที่เห็นชอบตามความเป็นจริง มีความมั่นคงในสัจธรรม เมื่อธรรมเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงอย่างนั้น เราก็ต้องฟังด้วยดี ว่าธรรมเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่ใครทั้งหมด ไม่ใช่ของใครด้วย
เหมือนกับธาตุแต่ละชนิด ซึ่งมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วสิ่งที่เกิด และดับ จะเป็นของใคร ไม่สามารถจะเป็นของใครได้เลย เพราะสิ่งที่ดับ ดับเลย ไม่กลับมาอีก ทุกรูปตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงเมื่อสักครู่นี้เอง ที่ดับ ก็ดับไปเลย แล้วก็มีเหตุปัจจัย แล้วแต่ว่ารูปนั้นจะเกิดเพราะกรรม หรือว่ารูปนั้นจะเกิดเพราะจิต รูปนั้นจะเกิดขึ้นเพราะอุตุ หรือว่ารูปนั้นจะเกิดขึ้นเพราะอาหาร แม้แต่รูป ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น นามธรรมทั้งจิต เจตสิก ก็ต้องเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ฟัง ธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา ต้องไม่ลืม แล้วก็ต้องเข้าใจว่า การที่มีปัญญารู้อย่างนี้ ก็ทำให้ไม่ไปเพียรทำอย่างอื่น ที่ไม่ใช่การอบรมความรู้ ความเข้าใจถูก ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทา
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็กล่าวได้ว่า ต้องใช้เวลา คือ เราต้องไม่คิดถึงเรื่องเวลาเลย
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะว่าถ้าคิดถึง เราเกิดมาแล้วแสนโกฏกัปป์ อวิชชาด้วย แล้วก็กิเลสทั้งหลายด้วย หนาแน่น ฉาบทา ไม่ให้สามารถที่จะเห็นความจริงของสภาพธรรม ต้องอาศัยพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ ระดับขั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะตรัสรู้สภาพธรรมในขณะนี้ แล้วทรงแสดงความจริง ของธรรมว่าเป็นธรรม เป็นธรรมที่เกิด เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ แล้วก็ทรงเทศนามากมายตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้เราที่ฟังมาเท่าไร ๔ วัน ๒ ครั้ง ๓ เดือน ไม่พอเลย ที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งหมด โดยไม่เกิดปัญญา โดยไม่เข้าใจธรรม แต่ว่าเมื่อค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น ก็จะไม่ไปทำอะไร เพราะรู้ว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดตามปัจจัย
ผู้ฟัง อยากจะขอเรียนถามอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของการวิรัติทุจริต ในการที่วิรัติทุจริต ของพระโสดาบันกับปุถุชน มีความแตกต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ต้องต่างกันแน่นอน เพราะว่าปุถุชนวิรัติ เพราะยังเป็นเรา
ผู้ฟัง หมายความว่า เวลาที่เราบอกว่า เรากลัวกรรมตามสนอง เราก็เลยไม่ทำบาป นี้ก็ยังผิดอยู่ใช่ไหม
ท่านอาจาย์ ยังเป็นตัวตนอยู่ ยังไม่หมดความเป็นเรา เราดี เราถือศีล เรามีปัญญา คือ ทั้งหมดเป็นเราไปหมด ตราบใดที่ไม่ใช่พระโสดาบัน ไม่ใช่พระอริยบุคคล ยังไม่เห็นธรรม ตามความเป็นจริงของธรรม ต่อเมื่อใดที่เห็นธรรม ตามความเป็นจริงของธรรม ก็รู้ตัวเองตามความเป็นจริง อย่างพระโสดาบัน ท่านไม่ได้เข้าใจผิด ว่าท่านเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ พระอริยบุคคลทุกท่าน ท่านมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นพระโสดาบัน ท่านประจักษ์แจ้งความจริง ของลักษณะของสภาพธรรม ดับความเห็นผิดทั้งหมด ละความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ท่านรู้ว่าโลภะเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวท่านอีกต่อไป แต่โลภะ มีเหตุปัจจัยก็เกิด โทสะ มีเหตุปัจจัยก็เกิด เพราะปัญญาของท่าน เห็นความจริงระดับนี้ แต่สูงกว่าระดับขั้นของปุถุชน แต่ไม่ถึงระดับขั้นของพระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ แม้แต่หิริโอตตัปปะ ความละอาย ต้องมีต่างขั้นกันด้วย อย่างปุถุชน ไม่มีความละอาย เรื่องความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่เห็นละอายตรงไหน ไม่รู้ก็คือไม่รู้ แต่ถ้าหิริโอตตัปปะเกิด น่าอายไหม เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้มาแสนนาน แล้วเมื่อไรจะรู้สักที ยังไม่อายอีก ก็คือ ไม่รู้ต่อไปอีก แต่ถ้าเริ่มที่จะละอาย เห็นว่าควรจะรู้ ควรจะเข้าใจสภาพธรรม ก็จะมีการฟังพระธรรมด้วยดี พิจารณาด้วยดี นี่ก็คือ ระดับขั้นหนึ่งของกัลยาณปุถุชน คือ ยังรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และเริ่มที่จะศึกษา จนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว ความละอาย หิริโอตัปปะของท่าน ก็มากกว่าระดับขั้นของปุถุชน เพราะเห็นว่าเป็นธรรม แต่ว่าท่านก็ยังมีโลภะ โทสะ แล้วท่านก็มีสติปัฎฐานเกิด เพราะเหตุปัจจัย ระลึกรู้ และก็เริ่มที่จะเห็นความน่ารังเกียจ ของโลภะอย่างหยาบ ซึ่งปุถุชนไม่มีทางจะเห็น เพราะว่าปิดไว้หนาแน่น ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นแม้แต่หิริโอตตัปปะ หรือว่ากุศลธรรมทั้งหลาย ก็ต่างขั้นกัน