โลกเฉพาะของแต่ละคน


    ผู้ฟัง ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่รู้สึกจะมีคำถามๆ อยู่บ่อยๆ ในแต่ละแห่ง แต่ว่าประโยชน์จากที่ดิฉันได้คำตอบจากท่านอาจารย์ หรือฟังธรรมจากท่านอาจารย์ ทำให้ดิฉันคิดว่า ชีวิตที่เหลืออยู่มีค่าอยู่มาก เพราะว่าก่อนที่จะฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยาย กุศล อกุศลก็ทราบอยู่ แต่ว่าอย่างชาติวิบาก ไม่เคยทราบเลยว่ามันเป็นตรงไหน แล้วพอฟังแล้วเข้าใจแล้ว ก็เลยทราบว่า ชาติวิบากเกิดทั้ง ๕ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ประโยชน์ก็คือ ถ้าได้ยินเสียง ทราบได้ว่ามีชาติวิบาก เพราะฉะนั้น ถ้าได้ยินเสียงไม่ดี ดิฉันก็จะรู้สึกว่า นั่นแหละคือผลที่ดิฉันทำไม่ดีมาแล้ว ก็จะไม่โกรธที่จะได้ยินเสียงที่ไม่ดี ประโยชน์ตรงนี้ก็ช่วยได้เยอะเลย แล้วอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวบอกว่า ถ้าโจรมันตัดแขนตัดขาเรา เราก็โกรธ แต่ถ้าหมอมาตัดแขนตัดขาเรา เราไม่โกรธ อันนี้ให้เห็นเลยใช่ไหมคะว่า เป็นชาติวิบาก เราจะต้องรับ ทุกข์ทางกาย เพราะฉะนั้น อย่างไรก็ต้องรับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี หรือไม่ดี ก็กราบท่านอาจารย์ ไว้ในที่นี้ด้วย

    ส. มีใครรู้สึกอย่างนี้บางหรือยัง ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วจริงๆ ถ้ารู้ว่า เราอยู่ในโลกคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกอื่นเลย โลกใครก็โลกของคนนั้น คือจิตของใครเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ในขณะนี้โลกของแต่ละคนขึ้นอยู่กับจิต ถ้าจิตเป็นกุศล ขณะนั้นก็เป็นเฉพาะตัว ขณะจิตที่เป็นอกุศล ก็เป็นโลกอกุศล ในขณะที่คนอื่นเขาเป็นกุศลกัน แต่คนนี้ก็เป็นอกุศลอยู่ ก็เป็นสิ่งซึ่งแล้วแต่การสะสมมา

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีใคร มีแต่จิต เจตสิกซึ่งเกิดดับ ขณะใดที่มีความรู้สึกทุกขเวทนา ไม่สบายกายเกิดขึ้น ไม่มีคนอื่น แต่เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทำให้มีกายปสาท ทำให้กระทบกับสิ่งนั้น แล้วก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น เวลาโกรธใคร หรือก็คิดว่าคนที่ทำให้เราเจ็บป่วย ปวด ได้รับบาดเจ็บต่างๆ นั่นเป็นเรื่องของความคิดนึก แต่ความจริง คือ ทุกขเวทนาของใครเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าไม่เคยทำกรรมไว้ในอดีต ก็ไม่มีการที่จะมีกายปสาทที่จะมารับกระทบกับสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีคนอื่น ไม่ต้องไปนึกถึงคนอื่น เพราะว่าไม่มี มีแต่ปรมัตถธรรม ถ้ามีความเข้าใจธรรมะจริงๆ ก็ จะทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องของจิตชนิดต่างๆ อย่างที่คุณบุษบงพูดถึงเมื่อกี้นี้ คือบางขณะจิตก็เป็นกุศล บางขณะจิตก็เป็นวิบาก


    หมายเลข 10099
    18 ส.ค. 2567