ชีวิตประจำวันคืออะไร


    อ.นิภัทร อาจารย์ครับ ชีวิตประจำวัน จริงๆ มันคืออะไรครับ

    ส. ถ้าไม่มีจิต เจตสิก ไม่มีรูป ก็ไม่มีอะไรที่เป็นชีวิต

    อ.นิภัทร เข้าใจว่า ชีวิตประจำวันของเรา คือที่เราคิด เรานึก ทุกวันๆ ทุกขณะ

    ส. ถ้าอยากนั้นก็ต้องตอบว่าวันนี้ ชีวิตประจำวันคืออะไร เห็น กำลังเห็น ชีวิตประจำวันแน่นอน หลังจากเห็นแล้วก็คิดเรื่องที่เห็น นี่ก็ชีวิตประจำวัน เวลาที่ได้ยิน แล้วก็คิดถึงเรื่องที่ได้ยิน บางขณะได้กลิ่นก็คิดถึงเรื่องกลิ่น บางขณะก็ลิ้มรสก็คิดถึงเรื่องรส แล้วเวลาที่กระทบสัมผัสทางกายก็คิดนึกเรื่องนั้น

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของคนที่เป็นไปในโลกของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็จะคิดวนเวียนแต่ในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    อ.นิภัทร ชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้ ใช่ไหมครับอาจารย์

    ส. แน่นอน เพราะว่าเราต้องทราบว่า เวลาที่เราพูดถึงเรื่องกรรมกับผลของกรรม พูดลอยๆ ถ้าไม่พูดถึงเรื่องขณะจิต แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้จากการตรัสรู้ ทรงแสดงสภาพของจิตซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วว่า จิตขณะใดเป็นอกุศล หรือกุศล จิตขณะใดเป็นอกุศลกรรมบถ คือ เป็นทางที่จะให้เกิดผลคือวิบาก แล้วก็จิตประเภทใด ขณะไหนเป็นวิบาก คือมีความชัดเจน ไม่ได้เพียงแต่พูดลอยๆ เรื่องกรรมกับผลของกรรม แต่ทรงแสดงตั้งแต่ขณะเกิดจนถึงขณะตายว่า ขณะใดเป็นผลของกรรม แล้วขณะใดไม่ใช่ผลของกรรม

    อ.นิภัทร ผู้ที่รู้ชีวิตประจำวัน ก็แปลว่า เป็นผู้รู้ธรรมะหรือเปล่า

    ส. ถ้ารู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสภาพปรมัตถธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏ ขณะนั้นถึงจะชื่อว่า รู้ธรรมะ

    อ.นิภัทร คือชีวิตประจำวันมีอยู่จริง เราก็รู้ เราก็เห็น เราได้ยิน ได้กลิ่น แต่ว่าจะต้องรู้ด้วยว่า ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ถึงจะเรียกว่า รู้ธรรมะในชีวิตประจำวัน

    ผู้ฟัง เป็นการเจริญสติปัฏฐานใช่ไหมครับ รู้อย่างนั้น แต่ว่าถ้าเกิดว่า การพิจารณาเพียงแค่เห็นเป็นคุณประโยชน์ หรือว่าเห็นโทษ เพื่อที่จะตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น คิดว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า โดยที่ไม่มีการพิจารณารูปนามประกอบเลย

    ส. สติเป็นธรรมฝ่ายดี มีหลายขั้น ขณะที่ทุกคนกำลังฟัง ให้ทราบว่า ต้องมีสติ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย แต่ว่าขณะนั้นยังไม่ใช่สติปัฏฐาน ขณะที่ให้ทาน กำลังให้วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ขณะนั้นก็มีสติ เป็นสติที่ระลึกเป็นไปในการจะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ขณะที่ช่วยเหลือใครแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าขณะที่มีกาย วาจาที่ดี ขณะนั้นก็มีสติ ขณะนั้นเป็นสติขั้นศีลที่เกี่ยวกับกายวาจา

    เพราะฉะนั้น แม้ว่ามีสติ เวลาที่กุศลจิตเกิดก็ไม่รู้ แต่เวลาที่เป็นสติอีกระดับหนึ่ง ต้องเกิดจากการฟังพระธรรมก่อน แล้วก็มีความเข้าใจ เช่นในขณะนี้ที่กำลังฟังแล้วเข้าใจ เป็นสติ และปัญญา เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน กำลังเห็นก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่งต่างกับขณะที่กำลังได้ยิน ซึ่งเป็นธรรมะอีกชนิดหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดนึกก็ไม่ใช่ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ฟังธรรมะเข้าใจ ขณะนั้นก็ไม่ใช่ขณะที่ไม่ได้ฟัง แล้วก็ไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะเข้าใจก็เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง ทำให้ต่อๆ ไปก็สามารถมีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏได้

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้น สติในขั้นทาน หรือขั้นศีลก็ไม่ใช่เป็นหนทางที่จะทำให้หลุดพ้นจากวัฏฏะนี้ได้เลย

    ส. ไม่เลยค่ะ

    อ.สมพร ผมคุยเรื่องชีวิตประจำวันนิดหนึ่ง ทุกวันนี้เราเข้าใจชีวิตประจำวันว่า เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตน เป็นคน เป็นสัตว์ ว่าเราจะต้อง กระทำกิจอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ คำว่า “ชีวิตประจำวัน” ชีวิตนั้นคือรูป ชีวิตนั้นคือนาม ๒ อย่างเท่านั้น แต่ว่ามันเกิดดับบ่อยๆ

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ เวลาที่อาจารย์พูดอะไรแล้ว ก็อยากจะทำความเข้าใจตรงนั้น ท่านอาจารย์กล่าวบอกว่า มือถ้าดูก็เหมือนสะอาด แต่ถ้าฟอกสบู่แล้ว จะเห็นว่าสกปรก อย่างนี้ท่านอาจารย์จะหมายความว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษา นึกว่าสะอาด ตัวสะอาด แต่ที่จริงแล้วมีอวิชชา อะไรทำนองนี้หรือเปล่า

    ส. หมายความว่า อกุศลธรรมมีหลายขั้น ขั้นที่เรารู้สึกว่าเป็นอกุศลก็มี แต่ขั้นที่เราไม่รู้สึกว่า เป็นอกุศลก็มี เพราะฉะนั้น บางคนเขาก็บอกว่า เขาไม่มีอกุศลเลย ไม่โลภ ใช้คำว่าไม่โลภ เพราะเหตุว่าเขาไม่รู้ว่าลักษณะของสภาพธรรมะที่ติดข้อง แม้แต่เพียงความหวัง เขาบอกว่าเขาไม่โลภ แต่เขาหวังอะไรบ้างหรือเปล่า เพียงแต่ว่าเย็นนี้จะไปไหน จะทำอะไร มีความคิด ความหวัง ความติดข้องในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของความติดข้อง

    เพราะฉะนั้น การที่ไม่ศึกษาธรรมะก็จะทำให้เข้าใจผิดทั้งๆ ที่มีอกุศล ก็คิดว่าไม่ใช่อกุศล พอตื่นมามีการให้ทาน มีการที่จะระวังกายวาจาให้เป็นไปในศีล หรือว่ามีการที่จะช่วยเหลือสงเคราะห์บุคคลอื่น มีการฟังธรรมะ มีการรู้สภาพของจิตว่า จิตขณะนั้นสงบหรือไม่สงบ ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในขณะนั้น ให้ทราบว่าเป็นอกุศลทั้งหมด แล้วก็มีอกุศลหลายขั้น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นพระอรหันต์แล้ว จะเห็นได้ว่า ธรรมดาของปุถุชน หลังจากที่เห็นแล้วก็เป็นอกุศล มีความติดข้องในสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก แล้วก็เวลาที่กุศลจิตเกิด หลังจากที่เห็น คนนั้นจะรู้ไหมคะว่า ขณะนั้นเห็นแล้วกุศลจิตเกิด

    นี่เป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าปกติเป็นอกุศล แล้วเวลาที่เห็นแล้วกุศลจิตเกิด จะเกิดอย่างไร ตอนไหน แล้วก็นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่อบรมเจริญปัญญารู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงระดับขั้นที่เป็นอรหันต์แล้ว กุศลจิตไม่มี อกุศลจิตไม่มี เพราะเหตุว่าถ้ายังเป็นกุศล ยังเป็นอกุศลอยู่ ยังต้องมีผลของกรรมที่เป็นกุศล และอกุศลที่ยังต้องเกิดต่อไป

    เพราะฉะนั้น พระอรหันต์มีแต่วิบากจิต คือจิตที่เป็นผลของกรรมที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ขณะนี้เป็นวิบากทั้งนั้น แล้วก็มีกิริยาจิต คือหลังจากเห็นได้ยินแล้วไม่เป็นกุศล และไม่เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น เมื่อถึงขณะสุดท้ายของจิต คือ จุติจิต สิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จึงใช้คำว่าปรินิพาน ดับสิ้นโดยรอบ ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้จิต เจตสิก เกิดต่อไป เป็นชาติต่อไปได้

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า เรื่องของสภาพธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียด ถ้าไม่รู้ว่าอกุศลมี ขณะที่ว่าเป็นลักษณะที่บางเบา โดยไม่รู้สึก คือ หลังเห็นแล้ว ใครจะรู้บางว่าเป็นอกุศล ถ้ารู้คนนั้นมีโอกาสจะเป็นพระอรหันต์ เพราะมีหิริโอตตัปปะ แล้วเห็นความน่ารังเกียจของอกุศลแม้เพียงบางเบา คือ เพียงเห็น หลังจากเห็นแล้วก็เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่พระธรรมจะทรงแสดงให้เห็นสภาพความจริงที่ละเอียดมาก ถึงเรื่องของการที่จะดับกิเลส ไม่ใช่เพียงแต่ระงับกิเลส หรือว่าเข้าใจเท่านั้น แต่หนทางที่จะดับกิเลสมีได้จริงๆ

    อ.นิภัทร ผมเข้าใจว่า ท่านทั้งหลายที่มานั่งอยู่ ณ ที่นี้ คงจะมีความสนใจในธรรมะ แต่ว่าบางทีอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ถ้ามีความสนใจ อย่าละ อย่าทิ้ง ให้มีฉันทะ ความพอใจ เชื่อว่า พระธรรมเป็นที่พึ่งได้แน่ พระธรรมมีประโยชน์แน่นอน สามารถที่จะให้เรารู้ความจริงของชีวิตได้แน่นอน ถึงจะไม่เข้าใจ เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร ฟังบ่อยๆ ความเจ้าใจมันจะเพิ่มขึ้น มันจะเพิ่มขึ้นโดยเราไม่รู้สึกตัวเลย พ้นไปปีหนึ่ง เมื่อก่อนเราไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไร ปีหนึ่งผ่านไป เรารู้อะไรขึ้นเยอะ ที่รู้หมายความว่ารู้ชีวิตประจำวันของเรา มันมีอะไร มันเป็นเรื่องที่น่ารู้ น่าศึกษาอย่างไร จะได้รู้ขึ้น ใจเป็นบาป เป็นอกุศลเป็นอย่างไร ใจเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นอย่างไร มันจะรู้ขึ้น รู้ขึ้น ไม่มีอะไรที่จะดีเท่ากับการรู้ตัวเอง การรู้จักตัวเองเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

    เพราะฉะนั้น กระผมก็ขอเชิญชวนว่า ถ้าฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจ


    หมายเลข 10105
    18 ส.ค. 2567