สัมปชัญญะ ๔
อ.วิชัย ฟังธรรมะอย่างนี้ เป็นสัมปชัญญะอย่างไร หรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจก่อนว่า สัมปชัญญะ คือ ปัญญา พระธรรมทุกคำเพื่อให้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แล้วแต่ว่าระดับไหน เพราะฉะนั้น สัมปชัญญะ คือ ปัญญาที่สามารถเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี อะไรเป็นประโยชน์ที่สุดของชีวิตที่เกิดมา
อ.วิชัย ก็ต้องปัญญา
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่คิด ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม อะไรจะมีประโยชน์ที่สุดเลย บางคนก็บอกว่า เกิดมาสบาย กินอยู่สบาย ทุกอย่างสบาย พอใจแล้วสำหรับชีวิตที่เกิดมา สุขแสนสุข สบายแสนสบายก็ไม่เที่ยง ต้องพลัดพรากไป สุขมากเลย ต่อไปป่วยไข้ สุขไปไหนก็ได้
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่า เป็นผู้รู้ประโยชน์สูงสุดในชีวิต อย่างอื่นเทียบไม่ได้เลย คือ ได้ฟัง และได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ใครคิดว่าอย่างอื่นมีประโยชน์กว่า ต้องไตร่ตรองแล้วคิดว่า ไม่มีอะไรเลยที่จะมีประโยชน์เท่ากับความเห็นถูก เกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไป ตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเลย อย่างนั้นดีไหม มืดมาแล้วก็มีดไป คือ ไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เกิดมาความจริงทุกขณะก็เพียงปรากฏชั่วคราว แล้วไม่กลับมาอีกเลย และเป็นอย่างนี้ทุกขณะ ถ้ารู้ประโยชน์จริงๆ ว่า เพื่อได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ก็เป็นผู้รู้ประโยชน์ของการมีชีวิต เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจถูก ไม่ใช่เข้าใจถูกเรื่องอื่น แต่เข้าใจถูกความจริงว่า อะไรประเสริฐที่สุดในการมีชีวิตอยู่ คือ ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง นี่คือสาตถกสัมปชัญญะ
เรื่องสัปปายสัมปชัญญะก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่คนเข้าใจ กิน อยู่ หลับนอนที่มีประโยชน์ ไม่ทำให้ป่วยไข้ รักษาตัวเองเพื่อมีชีวิตที่มีประโยชน์ คือได้เข้าใจธรรมะ แต่ว่าสัปปายสัมปชัญญะ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง สบายทั้งชาติ กิน อยู่ สุขภาพแข็งแรง รักษาร่างกายไม่ให้ป่วยไข้ แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า อะไรเหมาะควรแก่การมีชีวิตอยู่ ก็คือได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่เห็นประโยชน์ แต่ไม่ฟัง ส่วนใหญ่จะพูดกันว่า พระพุทธศาสนาดีมาก ไม่มีอะไรเทียบเท่า ควรจะได้ศึกษา แต่คนพูดไม่ศึกษา หมายความว่าอะไร รู้จักประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น การรู้จักประโยชน์ ไม่ใช่บอกว่า มีประโยชน์ แต่ต้องเห็นประโยชน์จริงๆ สาตถกสัมปชัญญะ สัปปายะ คือ การได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่ขึ้นชื่อว่าพระธรรมก็ฟัง ผิดๆ ถูกๆ ไม่ได้ไตร่ตรองแล้วยังเข้าใจผิดว่า เป็นคำสอนที่ถูกต้องด้วย ถ้าเป็นคำสอนที่ไม่ตรง ไม่จริง ไม่เป็นเหตุผลกับสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สัปปายสัมปชัญญะ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นพระธรรมจริงๆ ที่ถูกต้อง จึงจะเป็นสัปปายสัมปชัญญะ ท่านพระสารีบุตรกล่าวในพระสูตรหนึ่ง สัปปายสูตร คืออะไร สภาพธรรมะที่เกิดดับตรงให้เข้าใจถูกต้องว่า ถ้าสามารถระลึก และไม่ลืมว่า ทุกอย่างขณะนี้เพียงปรากฏแล้วก็ดับไป แต่เพียงปรากฏกับความไม่รู้ก็อย่างหนึ่งทำให้ติดข้อง และไม่สามารถทำให้เข้าใจไปทุกครั้งที่สภาพธรรมะหนึ่งสภาพธรรมะใดกำลังปรากฏ กับการที่เข้าใจถึงความไม่เที่ยงจริงๆ ไม่มีอะไรที่หยั่งยืนเลย ทุกขณะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป จะหลงติดข้องไหมคะ เพราะรู้ว่า ติดข้องในอะไร ไม่เหลือ ติดข้องในสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น สัปปายะ ก็คือเข้าใจในความไม่เที่ยงจอวสภาพธรรมะ ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้รู้ความจริงว่า อะไรไม่เที่ยง โคจรสัมปชัญญะ ขณะนี้เราอาจจะพูดว่า เกิดมาแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย แล้วอะไรเกิด อะไรแก่ อะไรเจ็บ อะไรตาย ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ โคจร ในสิ่งที่มีจริง ที่จิตสามารถรู้ว่า สิ่งนั้นแหละจริง ก็ไม่สามารถถึงอสัมโมหสัมปชัญญะได้
เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่ตื้นที่ทุกคนจะเข้าใจ มีใครไม่รู้บ้างว่า ใครเกิดแล้วไม่ตาย ไม่มี มีใครไม่รู้บ้างว่า เกิดแล้วไม่แก่ มีใครรู้บ้างว่า เกิดแล้วไม่เจ็บ เกิดแล้วก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตาย ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ตายแน่ๆ แล้วก่อนตายเป็นอย่างไร แล้วมีความมืด ความไม่รู้อยู่เรื่อยๆ แล้วก็จะไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่รู้ว่า ประโยชน์ของชีวิตคืออะไร และสิ่งที่ควรรู้ สัปปายะ ก็คือความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน ความชั่วคราวของสิ่งที่มี ซึ่งถ้าไม่รู้ความจริงก็คือหลงเข้าใจผิดแล้วก็เข้าใจผิด เหมือนกับยางใยที่ละยาก มีโลภะตั้งแต่อย่างหยาบ สนุกสนานเพลิดเพลินติดข้อง จนกระทั่งเข้าใจธรรมะแล้วก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เป็นเรา ยางใยของการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ จึงสามารถดับได้ ไม่เกิดอีกเลย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะทรงแสดงอกุศลโดยนัยของอาสวะ เกิดแล้วหลังเห็นเพียงแค่ ๓ ขณะจิต แล้วก็เป็นโลภะ โทสะ ตามที่สะสมมา อาสวะก็ไม่รู้ ถึงแม้คำถามต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเราต้องการไปโน่น มานี่ ก็เป็นโยคะ ผูกไว้ไม่ให้ออกไปจากโลภะ เป็นความปรารถนา ความติดข้อง
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียด โดยนัยประการต่างๆ แม้แต่กล่าวถึงโคจรสัมปชัญญะ ก็ต้องรู้ว่าพูดถึงอะไร พูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่า ชั่วคราว เกิดแล้วดับ แต่ยังไม่รู้ แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เข้าใจขึ้นๆ ก็จะถึงขณะที่เป็นอสัมโมหสัมปชัญญะ เพราะขณะที่รู้ว่า ความจริงคือเดี๋ยวนี้ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แต่ไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ แต่รู้ว่า สิ่งนี้เกิด ไม่เกิดไม่มี และรู้ว่าสิ่งนี้ดับ เพราะว่าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ตลอดไป เพียงความเข้าใจอย่างนี้มั่นคงขึ้น ก็จะทำให้เริ่มเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มีว่า เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ขณะนั้นเป็นอสัมโมหสัมปชัญญะ ไม่หลงเข้าใจผิดยึดถือสภาพธรรมะนั้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
เพราะฉะนั้น สัมปชัญญะก็เป็นเรื่องของปัญญาตั้งแต่ขั้นต้นที่รู้ประโยชน์อย่างยิ่งของการมีชีวิตที่เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม