เที่ยวไปไม่รู้จบ


        ท่านอาจารย์ ก็ต้องเข้าใจคำว่า “สังสารวัฏ” ก่อน เพราะว่าเราได้ยินคำนี้บ่อยๆ แต่ควรได้เข้าใจความจริงด้วย ขอเชิญคุณคำปั่นให้คำแปล

        อ.คำปั่น สังสารวัฏ มีคำ ๒ คำ คือ สังสาระ และวัฏฏะ สังสาระก็คือการท่องเที่ยวไป วัฏฏะ คือ วนเวียน

        ท่านอาจารย์ สังสาระ คือ ท่องเที่ยว ไม่อยู่นิ่ง และวัฏฏะ คือวนเวียน เป็นอย่างไรคะ ไม่อยู่นิ่งแล้วก็วนเวียน ก็คือเดี๋ยวนี้ ไปไหน หรือเปล่า ท่องเที่ยว หรือเปล่า แต่ถ้าได้ยินคำนี้ หลังจากได้ฟังแล้วเข้าใจมาแล้วนานแสนนาน ก็สามารถรู้ได้ว่า คือเดี๋ยวนี้เอง ไม่มีใครออกจากห้องนี้ แต่จิตเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ทางตา กำลังเห็น มาแล้วที่ตา ไปแล้วสู่อารมณ์ที่กำลังปรากฏ เวลาได้ยินเสียง เที่ยวแล้ว ไม่อยู่นิ่งแล้ว เมื่อกี้ไปทางตา ตอนนี้ก็มาทางหู นักเที่ยว เที่ยวไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก เดี๋ยวทางลิ้น เดี๋ยวทางกาย เดี๋ยวทางใจ เมื่อกี้ไปเที่ยวข้างนอก ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน จมูกได้กลิ่นด้วย ลิ้นลิ้มรสด้วย

        เพราะฉะนั้น ที่เที่ยว หรือที่ไปก็มี ๖ ทาง แต่ไม่ไปไหนอื่น นอกจากนี้เลย แค่ ๖ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เที่ยวไม่รู้จบ พอ หรือยัง ยังไม่พอ ก็คือต้องเที่ยวต่อไปอีก ไม่ให้เที่ยวก็ไม่ได้ ไม่ให้ไปก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมะที่เกิดขึ้น ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ไม่รู้จักจบ ไม่มีหยุด ไม่เลิก ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีก็เพียงสั้นแสนสั้น แล้วก็หมดไป ไม่ว่าจิต ไม่ใช่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ทันทีที่เห็นแล้วดับ ใจคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วสภาพธรรมะที่เกิดพร้อมจิต ที่ใช้คำว่า “เจตสิก” ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่เราไม่รู้ก็เลยเป็นเรา

        โกรธ เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่เราไปทำให้เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น โกรธไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่นเลย แต่ว่าจิตประเภทหนึ่งก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่านั้น อีกประเภทหนึ่งจะมีมากกว่านั้นไม่ได้ คือ จากการทรงตรัสรู้ก็ทรงแสดงเหตุปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมะแต่ละอย่างเป็นไปว่า จิตประเภทนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร จิตอีกประเภทหนึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร เพื่อให้เห็นความไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่ไม่รู้สักอย่าง เช่น ในขณะนี้เห็นเป็นคนแล้ว เป็นดอกไม้แล้ว แต่ความจริงกว่าจะเป็นดอกไม้ และกว่าจะเป็นคน จิตจะต้องเห็นเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งสิ่งที่ปรากฏซึ่งเกิดดับสืบต่อ ปรากฏเป็นนิมิตตะต่างๆ จากการเห็น เพียงแค่หลับตาไม่มีอะไรเลยในห้องนี้ที่จะปรากฏ แต่พอลืมตา มีสิ่งที่ปรากฏมากมาย แสดงให้เห็นว่า จิตเกิดดับสืบต่อสลับกันเร็วแค่ไหน

        เพราะฉะนั้น นี่คือการยิ่งฟังธรรมะก็ค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ใคร และไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย กำลังมีอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่รู้ เพราะอวิชชา แต่เมื่อรู้แล้ว ค่อยๆ รู้ขึ้นก็สามารถคลายความติดข้อง หน่ายในการเห็นว่า ประโยชน์อะไรซึ่งไม่มีเรา แต่มีธาตุซึ่งเกิดขึ้น แล้วต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่รู้จบ

        เพราะฉะนั้น เข้าใจ “สังสารวัฏ” แล้ว ใช่ไหมคะ เดี๋ยวนี้เอง เมื่อไร ที่ไหน จิตไม่ได้เกิดขึ้นดับไปแล้วไม่เกิดอีก แต่ว่าเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดสืบต่อทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง


    หมายเลข 10119
    18 ก.พ. 2567