เข้าใจลักษณะที่ปรากฎ
ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับการระลึกศึกษาในสิ่งที่กำลังปรากฏ คำว่า “ปรากฏ” นี่ หมายความว่าอย่างไร อย่างสมมุติว่า ขณะที่เรากำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วก็คุยกับเพื่อนไปด้วย แล้วก็มีเพื่อนอีกคนบอกว่า ช่วยหยิบปากกาให้หน่อย เราก็หยิบปากกาให้เขา แต่เราไม่ได้รู้ว่า ขณะนั้นรู้สึกแข็งที่ปากกาตรงนั้น ขณะที่หยิบปากกาให้เพื่อนจะเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เราระลึกศึกษาได้ไหม
ส. ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏ เวลาที่กระทบสัมผัสปากกาแล้วเป็นอย่างไร คะ อะไรปรากฏ
ผู้ฟัง ตอนนั้นเราอาจจะไม่มีสติ
ส. ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าขณะใดหลงลืมสติ ขณะใดมีสติ แต่สภาพธรรมะก็ต้องเกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย
ผู้ฟัง แต่ขณะที่หยิบปาก กระทบ แล้วให้เพื่อน เรียกว่าปรากฏหรือเปล่า
ส. แข็งไหมคะ
ผู้ฟัง ก็แข็ง แต่ตอนนั้นไม่ทราบ
ส. เพราะว่าหลงลืมสติ แต่แข็งต้องมี
ผู้ฟัง แต่ถ้าปรากฏแล้วเราระลึกศึกษาได้เสมอ หรือว่าต้องมีสติด้วยถึงจะระลึกได้
ส. ถ้าสภาพธรรมะไม่ปรากฏ สติก็ระลึกไม่ได้ แต่เพราะสภาพธรรมะเกิดปรากฏอย่างไร สติก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏให้รู้ความจริงของสภาพธรรมะนั้น
ผู้ฟัง หมายความว่าถ้าปรากฏก็มีโอกาสที่จะให้ระลึกศึกษาได้ ถ้าสติเกิดด้วย
ส. สิ่งใดที่ปรากฏเท่านั้น
สุนาน แต่ถ้าไม่ปรากฏ
ส. ก็ระลึกไม่ได้
ผู้ฟัง แต่คำว่า “ปรากฏ” หมายความจะต้องเป็นอารมณ์ แต่ถ้าอย่างคุณพันทิพาถาม กระทบ กระทบแล้วปรากฏเลยหรือเปล่า
ส. อะไรปรากฏคะ ข้อสำคัญที่สุดคืออะไรปรากฏ
ผู้ฟัง อย่างรูปปรากฏกับจิตอย่างนี้
ส. รูปอะไรปรากฏ ไม่ใช่เรื่องลอยๆ ต้องมีลักษณะแต่ละขณะให้รู้จริงๆ ให้สติระลึกได้ จึงจะรู้ได้ ความรู้จึงจะเพิ่มขึ้นได้ ขณะนี้ที่กำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรมะ คือปริยัติ ศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมะ
ผู้ฟัง อย่างถ้าหยิบปากกา ถ้าเราไม่ทราบว่า มีลักษณะแข็ง ไม่เคยศึกษามาเลย ก็
ส. ไม่ต้องศึกษา เวลาที่ใครหยิบปากกา ต้องศึกษาไหมคะ ว่ามีลักษณะแข็ง หรือเวลาหยิบแข็งก็ปรากฏ
ผู้ฟัง แข็งก็ปรากฏ
ส. ค่ะ ก็ปากกาเวลาทุกคนจับกระทบก็ต้องแข็งทั้งนั้น เพียงแต่ว่าจะถามกันหรือไม่ถามกันเท่านั้นเอง
ผู้ฟัง แล้วอย่างนี้ ถ้ามีการกระทบก็ต้องปรากฏทุกครั้ง ถ้าไม่ปรากฏก็ไม่ได้
ส. สิ่งที่ปรากฏมี ขณะนี้ทางตาเห็นกำลังปรากฏ ไม่ต้องไปคิดถึงกระทบอะไรได้ไหม เพราะเหตุว่าลักษณะที่กระทบไม่ได้ปรากฏ ไม่ต้องไปคิดเรื่องสิ่งที่ไม่ปรากฏ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏ สติระลึก คือ เข้าใจให้ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อยว่า เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่งกำลังปรากฏเมื่อมีตา หรือว่าเมื่อกระทบตา แล้วใช้คำอะไรก็ได้ทั้งหมด แต่เพราะมีปัจจัย คือ จักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท ๑ ปัจจัย ขาดไปปัจจัยหนึ่งเห็นก็เกิดไม่ได้ นี่คือเรื่องราว แต่การที่จะรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ไม่ใช่นึกเรื่องราว
ผู้ฟัง หมายความเหตุปัจจัยครบจนกระทั่งปรากฏกับรูป รูปปรากฏ
ส. นี่ก็นึกเรื่องราว ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ การศึกษาธรรมะเพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่าไม่ใช่เป็นตัวตน ไม่ใช่เป็นเรา แม้แต่เหตุที่จะให้เกิด ๔ อย่าง ก็เพื่อให้เข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะทุกอย่าง
ผู้ฟัง การพิจารณาเรื่องราวก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ว่าการระลึกศึกษาจริงๆ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ส. ถูกต้อง ที่จริงแข็งปรากฏ หรือว่ารู้ว่าเป็นปากกา อะไรปรากฏแน่คะ
ผู้ฟัง รู้ว่าเป็นปากกา
ส. คนที่รู้ว่าแข็งโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ยังไม่เรียกชื่อ แต่มีแข็งปรากฏ ชื่อตามหลัง ชื่อมาทีหลัง ต้องมีสิ่งที่ปรากฏก่อน แต่ทีนี้ทุกคนคุ้นเคยกับชื่อ เรื่องราวบัญญัติ เพราะฉะนั้น ก็เกือบจะไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วขณะที่จับปากกา ไม่ต้องคิดถึงปากกาเลย จับแล้วก็แข็งปรากฏ ต้องแยกขณะจิตว่า ขณะที่กระทบสัมผัสไม่มีปากกา แต่ว่าแข็งปรากฏ แต่ขณะนั้นไม่สนใจในทุกสิ่งทุกอย่าง จำแต่ชื่อกับเรื่องราว ของสิ่งที่มีจริงๆ
เพราะฉะนั้น จึงยากแสนยากที่จะรู้ว่า ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วถ้าไม่มีปรมัตถธรรม เรื่องราวต่างๆ ก็มีไม่ได้ แต่ทีนี้ไปใจว่ามีเรื่องราว คือมีปากกา แต่แข็งไม่มี ความจริงแล้ว ขณะที่แข็งปรากฏ ไม่ต้องมีชื่อว่าปากกา
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น การระลึกศึกษาสภาพธรรมนี้ก็ ถ้าปรากฏก็ขึ้นอยู่กับว่าปรากฏกับสติ หรือปรากฏกับจิตอื่น
ส. สภาพธรรมะมีปรากฏทั้งวันแต่หลงลืมสติ ขณะใดที่จิตเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นสภาพธรรมะใดปรากฏ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะที่ปรากฏ สั้น และก็รวดเร็วมาก เราควรจะสังเกตตรงจุดนั้นที่ว่า สั้น และรวดเร็ว เพราะมันปรากฏแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง
ส. เราจะสังเกต เราจะเข้าใจ เราจะศึกษา หรือเราจะรู้ว่า ต้องอบรมเจริญปัญญา
ผู้ฟัง ต้องอบรมเจริญปัญญา ทีนี้การที่เราจะต้องอบรมเจริญปัญญา ก็คือ การที่ว่าสังเกตที่ท่านอาจารย์ว่า ตรงช่วงเล็กๆ น้อยๆ
ส. จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรา ขณะนั้นสติระลึก แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น