กว่าจะถึงสติปัฏฐาน


    ท่านอาจารย์ การฟังพระธรรมต้องฟังบ่อยๆ แล้วก็ให้ทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดงสำหรับทุกคนที่ฟัง เพราะว่าจะได้ประโยชน์ ได้ความเข้าใจ ถ้าจะพิจารณา แม้ในอัจฉริยสูตร เราก็ไม่ได้ฟังข้อความแต่เพียงเรื่องของความยินดีในอาลัย หมายความถึงความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นประการที่หนึ่ง ที่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงธรรม ก็มีผู้ที่สนใจฟังธรรมะ แม้แต่เป็นผู้ที่ยังติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ นอกจากนั้นยังชี้ให้เห็นถึงตัวเรา ซึ่งไม่ใช่มีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะเหตุว่าประการที่ ๒ หมู่สัตว์ผู้มีมานะ เป็นที่รื่นรมย์ ชี้ให้เห็นตัวเรา ให้สิ่งที่เราเคยมีมากๆ แล้ว ไม่เคยรู้เลยว่า เป็นโทษ คือมานะ นอกจากความติดข้องก็ยังมีความสำคัญตน

    เพราะฉะนั้น หมู่สัตว์ที่มีความสำคัญตน ก่อนฟัง เวลาที่ได้ฟังแล้วก็ได้รับประโยชน์จากการฟัง คือให้เข้าใจสิ่งที่มีในตนว่า มีอะไรบ้าง นอกจากมีโลภะ แล้วก็ยังมีมานะ มีความสำคัญ ฟังเพื่อที่จะละมานะ

    เพราะฉะนั้น การฟังทั้งหมด ฟังเรื่องโลภะ เพื่อละโลภะ ฟังเรื่องมานะ เพื่อละมานะ นี่เป็นประการที่ ๒ เรื่องมานะ

    ประการที่ ๓ คือ หมู่สัตว์ผู้มีความไม่สงบเป็นที่รื่นรมย์ ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นเป็นผู้ที่ไม่สงบ แล้ววันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดมากไหม ไม่เคยรู้เลย เข้าใจว่าบางครั้งบางขณะสงบ แต่ความจริงถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่ทราบเลยว่า ที่เข้าใจว่าบางครั้งสงบ แท้ที่จริงก็ไม่ใช่ความสงบ นี่คือประโยชน์ของการที่ได้ฟังเพื่อละความไม่สงบ

    ประการที่ ๔ คือ หมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา เป็นผู้มืด เมื่อพระตถาคตแสดงธรรม อันเป็นเครื่องปราบปรามอวิชชาอยู่ หมู่สัตว์นั้นย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง

    นี่คือประโยชน์ของการฟังแล้วฟังอีกจริงๆ เพราะว่าเป็นเรื่องของแต่ละคน ซึ่งมีอกุศล เพลิดเพลินในอกุศลต่างๆ แต่เมื่อมีศรัทธาที่จะได้ฟัง ประโยชน์จากการฟังก็คือได้ความรู้ ได้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถที่จะละอกุศลนั้นได้

    นี่คืออัจฉริยาสูตร ความน่าอัศจรรย์ในความปรากฏของพระพระตถาตคเจ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ ประการ

    ผู้ฟัง ในประการที่ ๒ ที่แสดงว่า เมื่อพระตถาตคทรงแสดงธรรม อันเป็นเครื่องปราบปรามมานะอยู่

    ท่านอาจารย์ครับ อันเป็นเครื่องปราบปรามมานะอยู่ นี่ ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาขยายความให้ชัดเจนขึ้น

    ท่านอาจารย์ ธรรมะทั้งหมดที่ทรงแสดงเพื่อละอกุศล ถ้าไม่รู้ว่ามีอกุศล ก็ละอกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า มานะซึ่งมีอยู่ซึ่งจะหมดสิ้นไปได้ หรือว่าละคลายบรรเทาลงไป ก็เมื่อได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง ความจริงธรรมอันเป็นเครื่องปราบปรามมานะอยู่ ก็ไม่พ้นจากสติปัฏฐาน ไม่อย่างนั้นก็ปราบปรามมานะไม่ได้ ในที่นี้ใช้พยัญชนะว่าปราบปราม เป็นเรื่องของอาชญากรรมอะไรต่างๆ แต่จริงๆ แล้วการที่จะปราบปรามมานะได้ ก็ต้องรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ แต่กว่าจะถึงสติปัฏฐาน ก็ต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ


    หมายเลข 10144
    15 ส.ค. 2567