อดทนเผากิเลส


        ท่านอาจารย์ ขันติคือความอดทน ตบะคืออะไร

        อ.ธิดารัตน์ ธรรมที่เผากิเลส

        ท่านอาจารย์ รู้แล้วใช่ไหมว่า อดทนไปทำไม เพื่อเผากิเลส ไม่ใช่อย่างอื่นเลย ไม่ใช่ให้ไปอดทนทำอย่างนี้ทำอย่างโน้น ด้วยความหวังความต้องการ แต่เพราะต้องอดทนอย่างยิ่งที่จะเผากิเลส เพราะกิเลสเผาได้ด้วยปัญญา เผาคือหมดเลย ไม่เหลือ ท่านอุปมาเหมือนกับว่า ถ้าเรามีต้นไม้ ขุดรากขึ้นมาสับเป็นท่อนๆ ก็ยังสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ถ้าไม่อยากให้เกิดอีกเลยต้องเผาให้หมด สับ โขลกละเอียดแล้วก็เผาจนไม่เหลือเลย นั่นคือไม่มีปัจจัยจะทำให้เกิดอีกได้ แล้วกิเลสมีเท่าไร แล้วจะเผากันจริงๆ หรือเปล่า ถ้าเผาให้หมดจริงๆ ต้องอดทนไหม

        คฤหัสถ์ที่ฟังธรรม เพราะในครั้งพุทธกาลบริษัทมี ๔ คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ ต่างกัน หรือเหมือนกันในขณะที่ฟังธรรม ไม่ใช่ในขณะอื่น ฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ในครั้งนั้นมีพุทธบริษัทที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฟังธรรมะต่างกันไหม ไม่ต่างกันเลย เพื่อความเข้าใจถูก เพื่อความเห็นถูก เพื่อดับกิเลสทั้งหมดไม่เกิดอีกเลย ไม่ใช่แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพราะเหตุว่ามีประโยชน์อะไรกับการให้กิเลสแม้เพียงประเภทหนึ่งประเภทใดยังเหลืออยู่ ไม่ว่ากิเลสประเภทใดๆ ทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ควรดับหมด ไม่เหลือ

        กว่าจะถึงประโยคที่ ๒ ก็ต้องเข้าใจความหมายของขันติเป็นตบะอย่างยิ่งว่า การฟังธรรมะเพื่อดับกิเลสทั้งหมด หรือใครจะเอาแค่ดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตนเท่านั้น หรือเป็นแค่พระโสดาบัน ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ อย่างนั้น หรือเปล่าคะ นั่นคือไม่รู้จักกิเลสตามความเป็นจริง ไม่ใช่ผู้ตรงว่า กิเลสเป็นโทษ อกุศลทั้งหมดไม่มีดีเลยสักอย่างเดียว อกุศลทั้งหมดควรดับหมด

        นี่คือการฟังธรรมะต้องฟังอย่างละเอียด ไม่ใช่จะเป็นพระอรหันต์วันนี้ ไม่ใช่ให้ดับกิเลสวันนี้ เพียงแค่มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลจริงๆ เพราะว่าเห็นไม่จริงทั้งนั้นเลย ตราบใดที่อกุศลยังเกิดได้ ก็แสดงว่ายังไม่เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง

        เพราะฉะนั้น แม้แต่การได้ยินคำว่า ตบะเผากิเลส แล้วก็อดทน ก็ต้องรู้ว่า เป็นความจริงถ้าขาดความอดทน ไม่สามารถดับกิเลสได้เลย เพราะไม่ใช่เราดับกิเลส แต่เพราะปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ และปัญญาไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ดีๆ เกิดไม่ได้เลย เป็นธาตุที่ไม่ใช่ไม่มีปัจจัยก็จะเกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้ว แล้วไม่รู้ สิ่งนั้นก็ทำให้เกิดอกุศลทั้งหลายเพิ่มขึ้นๆ มาก

        เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ฟังพระธรรมละเอียด และเป็นผู้ที่ตรง วันนี้ยังไม่ต้องการเป็นพระอรหันต์หรอก หรือวันนี้จะเป็นพระโสดาบันคะ คุณธีรพันธ์

        อ.ธีรพันธ์ ยังไม่ถึงระดับนั้น แค่ฟังเข้าใจเพิ่มขึ้น

        ท่านอาจารย์ แค่ฟังก่อน จะได้รู้ผิดรู้ถูกว่า อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ไม่ใช่พอเขาบอกว่าจะถึงนิพพาน ก็ไป ไปถึงนิพพานไหนก็ไม่รู้ ก็เป็นความไม่รู้ทั้งนั้น

        เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเองที่สามารถดับกิเลสของตนเองด้วย

        เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อรู้จริงๆ ว่า กิเลสมากมายมหาศาลสักแค่ไหน ฟังแล้วฟังอีกกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ง่าย ต้องอาศัยตบะ คือ ขันติ


    หมายเลข 10176
    18 ก.พ. 2567