ภาวนา 2 อย่าง
ท่านอาจารย์ คำนี้ “ภาวนา” น่าสนใจ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีภาวนาใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่คนไทยไม่มีปัญญาเลยก็ภาวนากัน นี่ก็เป็นการไม่ได้ศึกษาธรรมะโดยละเอียด จะทำให้พระธรรมที่ทรงแสดงค่อยๆ บิดเบือน คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ต้องระวังจริงๆ ในขณะนี้มีปัญญา หรือยัง แล้วปัญญารู้อะไร แล้วรู้แค่ไหน แม้แต่ปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกก็ต้องรู้ด้วยว่าจะไปเข้าใจถูกสิ่งอื่นที่ขณะนี้ไม่มี ถูกต้องไหม แต่ว่าขณะนี้สิ่งใดที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ และสามารถเข้าใจถูกได้ ก็จะรู้ว่า เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้แค่ไหน จากไม่มีเลย คิดเองกันทั้งนั้น ก็เลยคิดเองเสีย แต่รู้ว่า ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมจริงๆ เราจะเข้าใจผิด ไม่มีทางเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ก่อนที่จะใช้คำว่า “ภาวนา” และเมื่อรู้ว่าไม่รู้ จึงฟัง ฟังแล้วรู้แค่ไหน เพราะว่าภาวนาต้องเป็นเรื่องของปัญญา แล้วแต่จะเป็นสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่มีปัญญาแล้วหมดโอกาสที่จะเป็นภาวนา
ด้วยเหตุนี้ยังไม่คิดถึง หรือหวังที่จะภาวนาด้วยตัวเอง แต่ฟังธรรมะให้เข้าใจจริงๆ จนกว่าจะมีปัญญาจริงๆ โดยไม่หวังว่าจะภาวนา ซึ่งหมายถึงการอบรมปัญญาที่สามารถเข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏโดย ๒ นัย ถ้าเป็นสมถภาวนาก็สามารถเพียงรู้ว่า ขณะไหนเป็นอกุศล แล้วปัญญานั้นสามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้นถ้าระลึก หรือตรึกถึงสภาพธรรมะ หรืออารมณ์ใด จิตจะสงบจากอกุศล ไม่ใช่มีตัวเราที่จะไปทำความสงบให้เกิดขึ้น ถ้าจะไปข่มก็คือใครข่ม ไม่มีปัญญาแล้วจะข่มได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ เพียงได้ยินคำ แล้วไม่เข้าใจคำนั้นจริงๆ ก็จะทำให้เข้าใจผิด แล้วทำให้คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าลบเลือนไปทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ให้ทราบก่อน ใครจะภาวนาอย่างไร ก็ไม่ใช่เราจะต้องตาม แต่ต้องรู้ว่า ภาวนาคืออะไร อย่างที่คุณวิชัยกล่าวถึง ภาวนามี ๒ อย่าง คือ อบรมเจริญความสงบอย่างหนึ่งเรียกว่า สมถภาวนา อีกอย่างหนึ่ง คือ การอบรมเจริญปัญญาเพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้
อ.วิชัย อย่างไรครับที่ว่า ฟังแล้วไม่หวังที่จะภาวนาด้วย
ท่านอาจารย์ ถ้าหวังไม่ใช่ภาวนาแล้ว เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม หรือผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีผู้ที่มีปัญญา คำนี้ไม่ธรรมดา สามารถเห็นถูก เข้าใจถูกว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ถ้าคนที่ไม่เคยรู้ความละเอียดเลย ก็เพียงแต่ดูกิริยาอาการ การกระทำว่า อย่างนี้ไม่เป็นการประทุษร้ายคนอื่น หรือความโอบอ้อมอารีทำสิ่งที่ดีกับคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นกุศลเท่านั้น อบรมเจริญภาวนา คือ ความสงบไม่ได้ เพราะขาดปัญญาที่จะเห็นโทษของอกุศล
เพราะฉะนั้น สำหรับสมถภาวนาเห็นโทษของอกุศลอะไร อกุศลมีโทษแน่นอน แต่ผู้ที่อบรมเจริญความสงบเห็นโทษของอะไร จึงอบรมเจริญความสงบ จะตรงตามความเป็นจริง หรือเปล่า ก็ลองคิดดูว่า ขณะนี้ใครเห็นโทษอะไรบ้าง หรือเปล่า
อ.วิชัย ก็เห็นดอกไม้สวยๆ ก็ชอบ ก็รู้ว่าเป็นอกุศลแล้ว แต่ก็ไม่เห็นโทษของอกุศลนั้นเลย
ท่านอาจารย์ แล้วผู้นั้นจะอบรมเจริญสมถภาวนาได้ไหมคะ
อ.วิชัย ถ้าเพียงชอบเฉยๆ แล้วจะเป็นโทษภัยอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ฟังดูว่า ชอบเฉยๆ ยังไม่ทำทุจริตกรรมเลย จะเป็นโทษอย่างไร ถ้าไม่มีดอกไม้ปรากฏให้ชอบ จะดีกว่ามีดอกไม้ปรากฏแล้วติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ หรือเปล่า อะไรจะดีกว่ากัน เพียงแค่นี้ ไม่ติดข้อง สงบไหม กับติดข้อง สงบไหม
อ.วิชัย ก็ต่างกันขณะที่ติดข้องกับขณะที่ไม่ติดข้อง
ท่านอาจารย์ แล้วขณะไหนจะสบายกว่ากัน ใช้คำง่ายๆ ไม่ต้องติดข้องอะไรเลย เพราะไม่มีอะไรจะติดข้องกับการที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วติดข้อง อย่างไหนดีกว่ากัน
อ.วิชัย ถ้าไม่ติดข้องก็สบายกว่า
ท่านอาจารย์ เพราะเห็นโทษของความติดข้อง
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงปัญญาที่รู้ว่า ความติดข้องมีโทษ ก็เป็นความละเอียด
ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ ไม่ใช่ใครคิดว่า วันนี้ไม่สงบเลย มีแต่อกุศลทั้งนั้นเลย ก็จะไปเจริญภาวนา ไม่ใช่ภาวนาแน่นอน ต้องเป็นปัญญาจริงๆ เท่านั้นที่จะใช้คำว่า อบรมเจริญให้มีมากขึ้น เพราะว่าปกติธรรมดากุศลก็มี วันนี้ก็มีกุศลหลายอย่าง ขณะที่ฟังธรรมขณะนี้ที่เข้าใจก็เป็นกุศล แต่ไม่มั่นคงพอ เพราะเหตุว่าในขณะที่เข้าใจธรรมะก็มีเห็น ก็มีได้ยิน มีเสียงปรากฏ อกุศลก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น จะเห็นโทษของอกุศลไหมคะ ซึ่งเพียงติดข้อง ยังไม่ได้กระทำทุจริตกรรมใดๆ เลย แต่ขณะนั้นก็เป็นโทษ เพราะเหตุว่าถ้ามีมาก จิตไม่สงบ ก็สามารถกระทำทุจริตต่างๆ ได้ ต้องเป็นปัญญาจริงๆ หรือเปล่าที่เห็นอย่างนี้
อ.วิชัย ถ้ารู้ว่า แม้ความพอใจในดอกไม้อย่างนี้ก็ไม่สงบแล้ว
ท่านอาจารย์ บุคคลเหล่านั้นรู้ว่า เขาไม่สามารถดับกิเลสได้ แต่เขารู้ว่า อกุศลมีโทษ แล้วยังรู้ด้วยว่า ถ้ากุศลเกิด อกุศลก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้มีปัญญาจริงๆ แล้วก็เห็นโทษ ไม่ใช่เฉพาะติดข้องในดอกไม้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในชีวิตประจำวันมากมายสักเท่าไร ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่เห็นเลย ใช่ไหมคะว่า อกุศลกำลังโปรยธุลีลงในจิต ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทีละ ๑ ขณะจิตที่เป็นอกุศล
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เห็นโทษจริงๆ หรือเปล่า คนยุคโน้น สมัยโน้นเห็นโทษจริงๆ แต่คนสมัยนี้เห็นโทษจริงๆ หรือเปล่า เพียงแค่บอกว่า โลภะไม่ดี เป็นอกุศล ก็ยากที่จะเห็นว่าเป็นโทษ เพราะกำลังเพลิน กำลังติดข้อง กำลังพอใจ จะให้เห็นว่าเป็นโทษยากสำหรับคนที่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าไม่ติดข้องดีกว่าแน่นอน
เพราะฉะนั้น สำหรับคนในยุคนั้นก็เหมือนคนในยุคนี้ มีเห็นบ้าง มีได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกก็เป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏนี่แหละ ไม่ได้นอกไปจากสิ่งที่ปรากฏเลย ไม่ว่าจะคิดนึกอะไร
เพราะฉะนั้น อกุศลทั้งวัน เห็นโทษไหมคะ เพียงฟัง เริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้น ยังเป็นสมถภาวนาไม่ได้
อ.วิชัย ภาวนา ๒ อย่างนี้มีปัญญาต่างกัน หรือมีความต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สำหรับสมถภาวนาเห็นโทษของโลภะ วิปัสสนาภาวนาเห็นโทษของอวิชชา ความไม่รู้ คนที่อบรมเจริญสมถภาวนาก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จิตสงบก็เป็นเรา ปัญญาไม่สามารถรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธาตุ หรือเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ความรู้ต่างกัน คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย เขาก็บอกว่า วันนี้โลภะมาก โทสะมาก พรรณนาโทษของโลภะ โทสะ แต่มีใครพรรณนาโทษของการไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏบ้าง
อ.วิชัย ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงก็ไม่สามารถรู้ได้
ท่านอาจารย์ นี่เป็นความต่างกันของสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา ธรรมะที่ทรงแสดงอุปการะเกื้อกูลทุกอย่างที่ทำให้เห็นว่า อกุศลเป็นโทษ และกุศลทุกประเภทเป็นประโยชน์ และที่สำคัญที่สุด ในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลาย ปัญญาเป็นเลิศ