สะสมปัญญาอย่างต่อเนื่อง


        ท่านอาจารย์ จากพระสูตรนี้แสดงว่า เครื่องอยู่ของผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลกับเครื่องอยู่ของพระอริยบุคคลต่างกัน ชีวิตประจำวันของผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล เครื่องอยู่คือโลภะ หรือเปล่า

        ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

        ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ ก็แล้วนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบันเครื่องอยู่คืออนุสสติ ต่างกันมากไหมคะ จากปุถุชนเครื่องอยู่คือโลภะ สักกายทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ และสารพัด อยู่อย่างนี้จริง หรือเปล่า ทุกวันด้วย และกว่าจะอยู่ด้วยอนุสติก็ต้องต่างกัน

        เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นถึงความต่างของผู้ที่มากด้วยกิเลส ฟังพระพุทธพจน์ก็รู้สึกว่าเข้าใจบ้าง แต่ถ้าจะให้เข้าใจจริงๆ ก็คือต้องไตร่ตรอง แม้แต่เรื่อง “คบ” ไม่คบคนพาล บางคนก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเห็น ไม่ต้องเจอ แล้วถ้าเจอ ถ้าเห็น หลีกเลี่ยงได้ไหม ก็เป็นเรื่องคิด “จะ จะ” ทั้งนั้นเลย แต่ถ้าสภาพของจิตที่เต็มไปด้วยอกุศลประเภทต่างๆ มากมายหนาแน่น กว่าจะค่อยจางลงไปด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูกจึงสามารถเข้าใจจริงๆ ว่า ตามความเป็นจริงแล้วกุศลคืออย่างไร อกุศลคืออย่างไร แต่ต้องเข้าใจด้วยการไตร่ตรอง การไม่คบ ท่านทรงแสดงไว้ว่า ไม่ไปหาแม้ด้วยใจ กายไม่ต้องพูดถึง ไม่คลุกคลี ไม่ไป แม้ใจก็ไม่ไปหาแม้ด้วยใจ

        ผู้ฟัง ไม่ไปหาแม้ด้วยใจเป็นอย่างไรคะ

        ท่านอาจารย์ ใจไปหาใครบ้าง มีไหม แต่สำหรับคนพาล จะไปหาไหมแม้ด้วยใจที่จะคิดถึง ที่จะคบ ที่จะคุ้นเคย

        นี่คือการฟังธรรมะ จะมีความไพเราะของความลึกซึ้งของความจริงซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลาว่า กว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะจริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เดี๋ยวนี้ขณะนี้เอง ไม่ว่าอะไรจะปรากฏเพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป แค่นี้ แค่เกิดขึ้น และดับไป แต่สืบต่อกันจนกระทั่งไม่ปรากฏการเกิดดับ

        เพราะฉะนั้น ก็ฟังเพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในความไม่ใช่เราก่อน แล้วกิเลสทั้งหลายจึงจะค่อยๆ ดับลงไปได้ แต่การฟังเป็นการสะสมทำให้สิ่งที่ดีงาม ความเห็นถูกต่างๆ มีมากในจิตพอทำให้อกุศลทั้งหลายไม่เกิด แต่สิ่งที่มีอยู่แล้วยังอยู่เต็ม ยังออกไปไม่ได้เลย แต่ของใหม่ไม่เกิดมากเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้สามารถได้เริ่มเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าเริ่มระลึกถึงอนุสติต่างๆ แต่ต้องด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

        เพราะฉะนั้น แม้แต่ข้อความที่ว่า เครื่องอยู่ของพระโสดาบันกับของปุถุชนก็ต่างกันแล้ว ก็ต้องจริง จะเหมือนกันได้อย่างไร อยู่มาตั้งแต่เช้าด้วยกิเลสทั้งนั้นเลย ด้วยโลภะกับการะลึกถึงธรรมะด้วยความเข้าใจธรรมะ ด้วยการมีชีวิตอยู่เพื่อการอบรมปัญญาอย่างมั่นคงในทางสุจริต

        นี่เป็นสิ่งที่แต่ละประเด็น แต่ละข้อความก็ต้องรู้ความถูกต้องว่า ยังห่างไกลกันนัก เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่สุดก็คือสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกโดยไม่ขาดสาย “ไม่ขาดสาย” คือ นิรันตรภาวนา ก็คือในขณะนี้กำลังมีสภาพธรรมะที่เกิดดับซึ่งเป็นความเข้าใจตามลำดับ แต่พอจากชาตินี้ไปแล้ว เกิดที่ไหน จะขาดสายไหมคะขณะนั้น แล้วแต่ภพภูมิ แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังอีก ไม่ขาดสายคือยังคงมั่นคงที่จะฟังสืบต่อไปเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น

        เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็ต้องเป็นผู้ละเอียดแล้วเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทั้งหมดถ้าเป็นพระพุทธพจน์ พระวาจาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ เป็นไปเรื่องรู้ และเรื่องละ แต่จะละโดยไม่รู้เป็นไปไม่ได้ แล้วถ้ารู้แล้วไม่ละก็เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องตามกำลังของความรู้ เช่น เข้าใจว่าขณะนี้มีจริงๆ นี่ก็เป็นความรู้ขั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ประจักษ์ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีในขณะนี้

        เพราะฉะนั้น ชีวิตที่จะมีต่อไปข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่า จะยาว จะสั้น จะมาก จะน้อยสักเท่าไร นิรันตรภาวนาคือมีความมั่นคงที่ว่า เมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ชาติใดมีโอกาสได้ฟังอีกก็จะฟังต่อไป ซึ่งสะสมเป็นแต่ปางก่อนที่ทำให้ชาติต่อไปมีปัจจัยทำให้ยินได้ฟัง และได้เข้าใจต่อไป


    หมายเลข 10182
    18 ก.พ. 2567