จิตรู้จิต
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์สุจินต์ช่วยอธิบาย คำว่า “จิตรู้จิต” เพราะว่าตามปริยัติที่ได้ศึกษามา จิตมันเกิดทีละดวง หมายถึงว่า จิตไม่เกิดทีเดียว ๒ ดวง อันนี้ผมสงสัยว่า จิตรู้จิต เหมือนกับมันมี ๒ ดวง
ส. ธรรมะเป็นจริงอย่างที่ทรงแสดง โดยพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ แต่ว่าผู้ฟังรู้อย่างนั้นได้หรือยัง ถ้ายังรู้ไม่ได้ ขณะนี้มีสภาพรู้ไหม ที่กำลังเห็น นี่คะ
ผู้ฟัง มีครับ
ส. มี แล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธาตุ หรือเป็นธรรมะอย่าง หนึ่งซึ่งมีจริง ซึ่งมีลักษณะที่สามารถจะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ นี่คือเราไม่ต้องไปคิดว่า เมื่อจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะแล้วดับไป แล้วจิตจะไปรู้จิตได้อย่างไร ถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะรู้ความจริงซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างใกล้ชิดมากของนามธรรม และรูปธรรม ก็ยังไม่ต้องไปกังวล เพราะบางคนก็อาจจะบอกว่า นามธรรม และรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก ระลึกไม่ทัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปทันด้วยความเป็นเราที่จะระลึก แล้วก็คิดว่าไม่ทัน
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดไม่ว่าสภาพธรรมะจะเกิดดับเร็วอย่างไร จิตเกิดขึ้นทีละขณะอย่างไร แต่ว่าปัญญายังไม่ได้รู้ลักษณะของจิตเลย ก็ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนั้นเลย ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไป
ผู้ฟัง ผมต้องการรู้ หมายถึงว่ารูปแบบปริยัติ ไม่ใช่รู้แบบปฏิบัติ คือผมต้องการรู้ปริยัติก่อน
ส. เวลานี้ไม่ได้มีจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเลย ทั้งเห็น ทั้งได้ยินด้วย ในความรู้สึกว่า เหมือนพร้อมกัน ใช่ไหมคะ แค่นี้ก่อน นี่ก็ยังห่างกันมากไม่ต้องไปคิดถึงทีละ ๑ ขณะ จะไปรู้อีก ๑ ขณะได้อย่างไร แค่ทางเห็นกับได้ยิน
ผู้ฟัง ตามที่อาจารย์อธิบาย ผมเข้าใจว่า เห็นกับได้ยินมันไม่พร้อมกันอยู่แล้ว ครับ เพราะตามเหตุผล ก็เข้าใจ
ส. เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่สามารถที่จะรู้ความต่างกันห่างๆ ระหว่างเห็นกับได้ยิน จะไปรู้ละเอียดถึงขณะที่ว่า จิตขณะหนึ่ง วาระหนึ่งเกิด แล้ววาระต่อไปสามารถที่จะเกิด แล้วรู้การเกิดดับสืบต่อของจิต ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
ผู้ฟัง อันนี้ตามที่ศึกษาอย่างเวลาปฏิบัติ มันไม่ใช่เราปฏิบัติ มันเป็นสติ แล้วก็สัมปชัญญะ แล้วก็อาตาปี อันนี้ผมก็สงสัยว่า จิตรู้จิต มันเป็นจิตรู้ หรือว่าสติรู้ ระลึกรู้อย่างนี้ครับ
ส. ถ้าสงสัยอย่างนี้ โดยที่สติปัฏฐานไม่เกิด ก็จะสงสัยไปเรื่อยๆ ถูกต้องไหมคะ เพราะว่าเป็นความคิด แต่เมื่อไรที่ได้ฟังธรรมะ แล้วมีความเข้าใจว่า จิตเกิดดับสืบต่อ เร็ว ปรากฏเพราะการสืบต่ออย่างเร็ว ซึ่งทั้งเห็นทั้งได้ยินสลับกัน โดยที่มีจิตอื่นเกิดคั่น แต่เหมือนพร้อม เพราะฉะนั้น เวลาที่สภาพธรรมะซึ่งเป็นนามธรรมเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว เมื่อสติเกิดขณะใด ก็สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมที่ปรากฏให้รู้ได้
ผู้ฟัง อันนี้ตามการศึกษา เมื่อก่อนผมเริ่มศึกษาใหม่ๆ ผมจะสงสัยเยอะ คือพอเรียนไป ศึกษาไป ตามที่อาจารย์สอน ผมก็เข้าใจ อันไหนเข้าใจแล้วมันก็ไม่สงสัย ทีนี้อันที่มันไม่เข้าใจ มันก็สงสัยไปเรื่อยๆ
ส. เพราะฉะนั้น ทางที่จะหมดความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมะ ไม่ใช่โดยนั่งคิด ไตร่ตรองเท่าไรก็จะไม่รู้ แต่ว่าเมื่อมีการเริ่มระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมะเมื่อไร ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อนั้นก็จะรู้การที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏให้รู้ได้
คุณอดิศักดิ์ ในพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ได้พูดไว้เรื่องนี้ว่า สัมมาทิฏฐิเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องมีความเห็นชอบ มีความเห็นถูก จึงจะเป็นนิมิตเบื้องต้น แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย