ต้องอาศัยการพิจารณา


    ผู้ฟัง จากเอกสารที่คณะได้กรุณานำแจก กระผมเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้ง ไพเราะอย่างยิ่ง ที่กล่าวเป็นบาลีว่า อัปปกาเต มนุสเสสุ เย ชนา ปารคามิโน ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงว่า ชนผู้ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย ฝั่งนี้คงจะเป็นเรื่องของการเข้าใจซึ่งธรรม กระผมก็ใคร่ที่จะเรียนถามว่า การเข้าใจถึงธรรม คงจะมีการฟังธรรอยู่ด้วยเป็นแน่นอน เพราะในเรื่องของการฟังธรรมก็คงจะทำให้เกิดความเข้าใจในธรรม ธรรมดังกล่าวที่ท่านอาจารย์สมพร และคุณน้าธนิตได้กรุณากล่าวไปข้างต้น ชนผู้ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย เข้าใจธรรมถึงระดับไหนครับ ส่วนประชานอกนี้เลาะไปตามตลิ่งอย่างเดียว อย่างพวกกระผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ยังเลาะไปตามตลิ่ง หรือว่าจะถึงไปถึงเป็นพวกไปถึงฝั่งมีจำนวนน้อยบ้างหรืออย่างไร คือ ความแตกต่างระหว่างผู้ที่เข้าใจในธรรม จนกระทั่งเป็นชนผู้เข้าถึงฝั่งมีจำนวนน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายประชานอกนี้เลาะไปตามตลิ่งอย่างเดียวนั้น ท่านอาจารย์สุจินต์ ตรงนี้เราจะพิจารณาความแตกต่างอย่างไรครับ

    ส. ก่อนอื่นขอให้ทุกคนได้ฟังข้อความจากพระไตรปิฎก ซึ่งจะขออ่านให้ฟัง เรื่องการฟังธรรม

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภการฟังธรรม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

    แม้แต่เพียงการฟังธรรม ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นของธรรมดา แต่แม้กระนั้นพระผู้มีพระภาคก็ตรัสเรื่องของการฟังธรรม แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราเพียงเผินๆ ก็เหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าถ้าเราจะเป็นผู้ที่ละเอียด เราก็จะเห็นประโยชน์ว่า แม้เพียงเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย คือ การฟังธรรม แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

    ขออ่านข้อความต่อไปอีกนิดหนึ่ง เพราะว่าในการฟังธรรม ไม่ว่าในกาลก่อนหรือว่าในสมัยนี้ หรือสมัยต่อไปก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ข้อความต่อไปจึงมีว่า

    คนอาศัยภพแล้วติดภพมีมาก ดังได้สดับมา พวกมนุษย์ผู้อยู่ถนนสายเดียวกันในกรุงสาวัตถี เป็นผู้พร้อมเพียงกันถวายทานโดยรวมกันเป็นคณะแล้ว ก็ให้ทำการฟังธรรมตลอดคืนยันรุ่ง แต่ไม่อาจฟังธรรมตลอดคืนยันรุ่งได้ บางพวกเป็นผู้อาศัยความยินดีในกาม ก็กลับไปเรือนเสียก่อน บางพวกเป็นผู้อาศัยโทสะ ไปแล้ว แต่บางพวกง่วงงุนเต็มที่ นั่งสัปหงกอยู่ ในที่นั้นนั่นเอง ไม่อาจจะฟังได้

    ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุยันถ้อยคำให้ตั้งขึ้นในโรงธรรม เจาะจงถึงเรื่องนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์เหล่านี้อาศัยภพ แล้วเลยข้องอยู่ในภพนั่นเอง โดยดาดดื่น ชนิดผู้ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย

    สมัยนี้คนที่ฟังธรรมแล้วนั่งง่วงมีไหมคะ ก็ต้องมีทุกกาลสมัย แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ก็ดูเหมือนธรรมดา แต่กระนั้นก็ยังมีผู้ที่เป็นพระภิกษุที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ แล้วก็ได้สนทนาธรรมกันเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องจะเป็นประโยชน์ เมื่อสนทนาในแนวของธรรม ในแนวที่จะให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น พระภิกษุทั้งหลายท่านก็สนทนากันเรื่องนี้ และเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จผ่านมา ก็ได้ตรัสถาม แล้วภิกษุทั้งหลายก็ได้พูดถึงเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งพระองค์ก็ตรัสแสดงให้เห็นถึงความต่างกันของแม้คนที่ฟังธรรมในคืนก่อน ที่ว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์เหล่านี้อาศัยภพ แล้วเลยข้องอยู่ในภพนั่นเอง โดยดาดดื่นนี่โดยมาก

    เพราะว่าถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเราจะเห็นผิดในอะไรว่า เป็นเรา แต่เพราะเหตุว่าเมื่อสภาพธรรมะที่ปรากฏ แล้วไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมะแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วดับ ก็ย่อมเข้าใจว่า สภาพธรรมะนั้นเป็นเราทั้งหมด

    ที่น่าสนใจอีกบรรทัดหนึ่งที่สั้นมากก็คือ ตรัสโดยชอบ ได้แก่ ตรัสถูกต้อง ไม่มีคำไหนเลยที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสผิด หรือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมะนั้นๆ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เป็นการนึกเดาตามทฤษฏี แต่ว่าเป็นการที่ทรงสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมะทุกอย่าง แล้วก็ทรงแสดงลักษณะสภาพธรรมะนั้นๆ ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็ได้ฟังพระธรรม ซึ่งจากผู้ที่ได้ตรัสรู้ความเป็นจริงของธรรมะ ก็เป็นความถูกต้องทั้งหมด แต่ว่าการที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง ก็ต้องอาศัยการพิจารณาในการฟังด้วย


    หมายเลข 10229
    10 ส.ค. 2567