มีจริงในขณะที่ปรากฎ ๑


    ผู้ฟัง อยากจะเข้ามาถามคำถามที่ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ได้กล่าวถึงเรื่องของว่า มีจริงในขณะที่ปรากฏ คือขณะนั้นมีจริงในขณะที่ปรากฏ เช่นการฟัง การฟังก็ฟังเสียงที่มีจริงในขณะที่ปรากฏ ทีนี้การฟังธรรม คือ การฟังธรรมของเรารวมถึงการพิจารณาขณะที่ฟังหรือได้ยินเสียงนั้น หรือว่าหมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงขณะที่ปรากฏ หรือว่าที่ ๓ ก็คือหมายความถึงว่าฟังเพื่อจะเข้าใจเรื่องราวของสภาพหรือลักษณะของอาการปรากฏของเสียงนั้น ท่านอาจารย์สุจินต์ ครับผม

    ส. ก็คือการฟังธรรมะต้องเป็นผู้ที่ใจเย็นๆ ไม่รีบร้อน แล้วก็พิจารณาให้ละเอียดเพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ตามลำดับ ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดที่พูดมา เช่น สักกายทิฏฐิ ก็ได้กล่าวไปแล้ว แล้วพอมาถึง ๒๐ ก็ไม่ทราบว่า รู้จักรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ขันธ์ ๕ หรือยัง เพราะว่าบางท่านเป็นผู้ที่ใหม่จริงๆ สำหรับดิฉันเองตอนที่เริ่มไปศึกษาพระธรรมที่พุทธสมาคม ไม่รู้จักอะไรเลย เพราะเหตุว่าถ้าจะผ่านวัดก็อยากจะเข้าไปกราบ หรือว่าถ้าจะมีอะไรที่จะทำให้เกิดความสนใจก็ไป แต่ไม่มีโอกาสจริงๆ ที่จะศึกษา เพราะว่าที่วัด เวลาเข้าไปแล้ว ก็จะเห็น อย่างบางวัด ก็มีรูปภาพหรือรูปยักษ์ มีอะไรเยอะแยะ แต่ว่าไม่มีคำสอนที่ว่า รูปขันธ์คืออะไร เวทนาขันธ์คืออะไร สัญญาขันธ์คืออะไร แม้แต่ธรรมะก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่ใหม่จริงๆ ตั้งต้นจริงๆ แล้วสำหรับหลายคนที่นี่ก็เข้าใจว่าคงจะเหมือนกับดิฉัน เมื่อ ๓๐ - ๔๐ ปีก่อน ที่ได้เริ่มเข้าไปศึกษาธรรมะ แต่ว่าเวลาที่ศึกษาธรรมะ ตรงไปที่การศึกษาพระอภิธรรม แต่ว่าการเข้าวัดก็ไปตามวัด ก่อนที่จะรู้ว่าธรรมะคืออะไร อภิธรรมคืออะไร ปรมัตถธรรมคืออะไร รูปธรรมคืออะไร นามธรรมคืออะไร

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ขันธ์ ๕ ก็ไม่เคยได้ยิน ซึ่งก็จะต่างกับหลายท่านซึ่งท่านมี บรรพบุรุษ หรือบุพการี มีคุณพ่อ หรือว่าคุณแม่ หรือว่าพี่ป้าน้าอา คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย ก็อาจจะพาไปวัด แล้วก็เข้าหูบ้าง หรือว่าสมัยโน้นก็ไม่ได้มีวิทยุที่จะเปิดแล้วก็ให้เราได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ เหล่านี้เก็บเล็กผสมน้อยมา แม้แต่สักคำหนึ่งก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่ทราบว่าแต่ละท่านในที่นี้จะมีการตั้งตนเหมือนอย่างดิฉันหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นผู้ที่ตั้งต้นใหม่จริงๆ ก็จะไม่เข้าใจคำว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งเป็นขันธ์ ๕ แล้ว ก็มีความยึดถือในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ รวมทั้งหมดเป็น ๒๐ อย่าง

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะตั้งต้นโดยที่ว่า ไม่ว่าเราจะได้ยินได้ฟังอะไร ก็ให้เข้าใจจริงๆ อย่างที่คุณวีระกำลังพูด เพราะว่าหลายคนก็อาจจะคิดถึงเรื่องฟังธรรมะแล้วต้องปฏิบัติ เข้าใจว่าอย่างนั้น จึงได้มีคำถามเมื่อกี้นี้ว่า เมื่อฟังแล้ว จะให้ทำอย่างไร คล้ายๆ กับว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร แต่ว่าตามความเป็นจริงไม่มีใครเปลี่ยนธรรมะที่แต่ละคนสะสมมา ก็ยังคงเป็นคนเดิม แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งทุกคนก็ไม่สามารถที่จะรู้ตัวเองได้ว่า ต่อไปอะไรจะเกิดในชีวิต อาจจะพิกลพิการไป อาจจะได้ลาภ หรือเสื่อมลาภ หรืออาจจะอะไรก็ได้ แล้วแต่ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าการที่เราได้มีโอกาสเข้าใจชีวิตจริงๆ ว่า เป็นธรรมะ แล้วก็ได้ยินคำว่า “อนัตตา” ที่กล่าวมานี้ก็คือ ไม่ว่าจะกล่าวว่าเป็นธาตุ ไม่ว่าจะกล่าวว่าเป็นธรรมะ ก็แสดงความเป็นอนัตตาอยู่แล้วว่า ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของ หรือว่าเปลี่ยนแปลง หรือว่าบันดาลให้เป็นไปได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าพอได้ยินปุ๊บก็จะปฏิบัติทันที หรือว่าจะเข้าใจเรื่องซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาตั้งหลายปีกว่าที่จะเข้าใจได้แม้ในเรื่องของสักกายทิฏฐิ ๒๐

    เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เท่าที่ได้ฟังมาแล้วทั้งหมด ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็รู้ว่า หนทางที่จะเข้าใจธรรมะไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย หรือใกล้ เพราะเหตุว่าเป็นการศึกษาเริ่มที่จะเข้าใจพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมากมายมหาศาล ยิ่งฟังยิ่งเห็นตามความเป็นจริง แม้แต่ในข้อความที่ว่า ธรรมะใดก็ตามมีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ แค่นี้ก็ต้องคิดแล้ว ใช่ไหมคะ


    หมายเลข 10232
    10 ส.ค. 2567