เริ่มจากเดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง กระผมเอง อย่างเช่นที่คุณป้าสมหวัง กล่าวถึงเรื่องความโกรธ ผมเองก็ระงับความโกรธไม่ได้ คืออยากจะกำหนดจิตว่า ไม่โกรธ ก็กำหนดไม่ได้ ถามว่านามเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่เราไม่สามารถจะกำหนดได้ ที่เรียกว่า อภิธรรม หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น ขณะนี้เรากำลังเรียนอยู่ หรือครับ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจความหมายของธรรมะจริงๆ ว่า ธรรมะ คือ ธาตุ ธา - ตุ ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่ละสภาพธรรมะก็จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีเหตุปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมะนั้นๆ แค่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นปัจจัยที่จะให้เกิด ความขุ่นเคือง มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ถ้าเห็นสิ่งที่พอใจ ก็ทำให้จิตเกิดพร้อมกับเจตสิก ซึ่งทำให้ติดข้อง เพลิดเพลิน ยินดี ในสิ่งที่น่าพอใจนั้น ก็เป็นชีวิตประจำวันที่ต้องรู้ว่า ไม่ได้มีจิตใดซึ่งคงอยู่ ดำรงอยู่ อย่างจิตเห็นในขณะนี้ ไม่มีใครรู้ว่า จิตเห็นดับ แต่ว่ามีจิตได้ยินซึ่งไม่ใช่จิตเห็น เกิดสลับ เพราะฉะนั้น ก็ต้องหมายความว่า จิตเห็นต้องดับก่อน แล้วก็จิตอื่นจึงจะเกิดขึ้นได้ แต่ที่พูดอย่างนี้ ก็ยังรู้สึกว่า ใกล้ชิดมาก คือ เหมือนกับว่าหลังจากเห็นแล้วก็เป็นได้ยิน แต่จากการตรัสรู้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ก่อนที่จิตเห็น เมื่อดับไปแล้วจิตได้ยินจะเกิด จะต้องมีจิตอื่นเกิดมากมายสักเท่าไร
นี่ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งศึกษา ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่ใช่ว่าเราสามารถที่จะไม่มีโทสะ หรือว่าเราสามารถที่จะเป็นคนดี โดยที่ว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจ หรือมีความเห็นถูกในลักษณะของธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวเรา
เริ่มจากเดี๋ยวนี้ เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ เรา
ผู้ฟัง ครับ กราบขอบพระคุณมากครับ