ขณะนี้สติเกิดรึเปล่า
ส. สติปัฏฐานคืออะไร ขณะที่ฟังมีสติหรือเปล่าคะ สติเกิดหรือเปล่าขณะที่ฟัง
ผู้ฟัง ก็สำหรับผม ขณะนี้เวทนามันเกิด เพราะว่า ผมตึงตรงนั้น เมื่อยตรงนี้ ก็ระลึกว่า ขณะนี้เกิดแล้ว เวทนาเกิดแล้ว เกิดที่กาย แล้วในที่สุดก็เมื่อย ขบ หรือว่าปวด เดินไม่ถนัดอะไรอย่างนี้ก็เกิดขึ้น แต่ยังนับเป็นเรา เราปวด เราเมื่อยอยู่ เมื่อไรที่จะเป็นจิตรู้ หรือว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ธรรมะแต่ละอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยของมัน อันนี้ มันยังไม่เป็นไปอย่างนั้น
ส. ก่อนที่จะเจริญสติปัฏฐาน หรือสติปัฏฐานจะเกิด จะเจริญ ต้องมีความเข้าใจ เพราะเหตุว่า มรรคมีองค์ ๘ เริ่มจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ เริ่มจากขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างคือขณะที่ผ่านไปแล้วก็หมดไปแล้ว ขณะที่ยังไม่มาถึงก็ยังไม่มาถึง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจก็ต้องมีเป็นลำดับ เช่นในขณะที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ มีสติเจตสิกเกิดหรือเปล่า ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ลักษณะของสติ
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้กำลังฟังอย่างนี้ ถ้าคนที่ไม่ได้ศึกษาจะตอบไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ว่าสติคืออะไร แต่เมื่อกี้เราก็ได้พูดถึงเรื่องนามธรรม ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก สติเป็นจิตหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง อันนี้ผมก็ต้องกราบขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ความรู้ แล้วก็ให้คำแนะนำผม การที่เราศึกษาธรรม ก็ถือปัจจุบัน เอาปัจจุบันเป็นหลัก คือว่าอดีตหรือว่าอนาคต เราก็ยังไม่ต้องไปพูดถึง อะไรเกิดขึ้นขณะนี้ก็ให้พิจารณา ขณะที่เกิดขึ้น อันนี้ที่อาจารย์ให้แนวทาง ซึ่งผมก็ได้ฟังจากอาจารย์บ่อยๆ ก็ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ว่า กรุณาได้ให้ความรู้กับผม ขอบพระคุณครับ
ส. ยังไม่มีคำตอบ
คุณอดิศักดิ์ ฟังต่อไปนะครับ ผู้พัน ให้ฟังธรรมะต่อไปอีก
ส. เพราะว่าจริงๆ ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ต้องเข้าใจคำว่า “ละเอียด” แม้แต่ขณะที่ฟัง ถ้าไม่เคยศึกษามาก่อน จะไม่ทราบเลยว่า ขณะนี้เป็นกุศลจิต ขณะที่สติเกิด ต้องเป็นกุศลจิต หรือขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่า เราได้กล่าวถึงจิตหลายๆ อย่าง หลายๆ ประเภท ว่าอย่างน้อยที่สุด จิตที่มีเจตสิกเกิดอย่างน้อยที่สุด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภทเท่านั้น แต่ถ้ามากกว่านั้น เช่น เวลาที่ อกุศลจิตเกิด มากกว่า ๗ หรือเวลาที่กุศลจิตเกิด ยิ่งมากกว่าเวลาที่อกุศลจิตเกิด เพราะเหตุว่า ปกติจิตย่อมเป็นอกุศล แต่กว่าจะเป็นกุศลได้แต่ละครั้ง แต่ละขณะ ก็ต้องอาศัยเจตสิกซึ่งเป็นโสภณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดีเกิดทำกิจการงานร่วมกัน พร้อมกันในจิต ๑ ขณะ ไม่น้อยกว่า ๑๙ ประเภท
เพราะฉะนั้น เราก็จะได้ทราบ โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะกุศลในขณะที่เป็นไปในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น หรือในขณะที่เว้นทุจริตต่างๆ ขณะนั้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๑๙ ประเภท ซึ่งต้องมีสติเจตสิกเกิดด้วยทุกครั้ง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าสติคืออะไร ต่างกับเจตสิกอื่นอย่างไร โสภณเจตสิกมี ๑๙ ชนิด เช่น อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือว่า ศรัทธา ก็เป็นโสภณเจตสิก สติก็เป็นโสภณเจตสิก
เพราะฉะนั้น ที่เราเคยเข้าใจว่าถ้าเราเดินไม่หกล้ม ทำอะไรไม่เสียหาย ก็หมายความว่า มีสติ นั้นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าสติจะต้องเป็นโสภณเจตสิก โสภณธรรมซึ่งเกิดกับจิตที่เป็นฝ่ายดีเท่านั้น ในขณะที่กุศลจิตเกิด กำลังตั้งใจฟัง สนใจฟัง เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ขณะนั้นสติเกิดแล้ว เกิดกับกุศลจิตนั้น แต่ไม่ใช่ระดับที่สามารถจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง
เพราะฉะนั้น ถ้าความรู้ขั้นต้นยังไม่พอ ไม่มีทางที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะตามที่กำลังพูดถึง เช่น กายก็ดี หรือ เวทนา ความรู้สึกก็ดี หรือจิต หรือเจตสิกอื่นๆ ต้องมีความรู้ความเข้าใจจากการฟังเพียงพอที่จะรู้ว่า เป็นธรรมะทั้งหมด แล้วก็แต่ละธรรมะก็มีลักษณะเฉพาะของธรรมะนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เป็นสติระดับฟัง ขั้นฟัง กำลังค่อยๆ เข้าใจ สิ่งซึ่งมีอยู่ในขณะนี้ ให้ถูกต้องว่า เป็นธรรมะ ในเรื่องราวของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ตัวจริงของธรรมะ กำลังเกิดดับ สติซึ่งไม่มีใครรู้ ก็เกิดดับไปแล้วทุกขณะที่เป็นกุศลจิต โดยไม่รู้
นี่ก็คือ นามธรรม และรูปธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แต่ว่าถ้าเป็นสติปัฏฐาน อย่างที่กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุสปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะเป็นโดยชื่อ ซึ่งเพียงได้ยิน แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่ว่าอยากจะทำ แล้วก็เลือกที่จะทำ
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ปัญญาต้องเจริญตามลำดับขั้น ไม่ใช่ว่าจะกระโดดจากขั้นนี้ไปสู่อีกขั้นหนึ่งได้ ทุกอย่างต้องค่อยๆ เจริญ ค่อยๆ เติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ นี่เป็นปัญญาระดับที่จะก้าวไปสู่ หรือว่านำไปสู่การเจริญ ขึ้นของปัญญาขั้นต่อๆ ไป แต่ข้ามขั้นไม่ได้ คือ ถ้าในขณะนี้ไม่ฟัง จนกระทั่งเข้าใจจริงๆ แล้วจะไปทำวิปัสสนา หรือคิดว่าจะไปสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามลำดับขั้นที่ถามว่า ขณะนี้สติเกิดหรือเปล่า ก็ต้องตอบได้ เพราะว่าฟังแล้ว ใช่ไหมคะ แต่ถ้าก่อนฟัง อาจจะ ตอบไม่ได้
นี่คือประโยชน์ของการฟังว่า ฟังแล้วพิจารณา ให้เข้าใจสภาพธรรมะก่อน แล้วก็ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ไม่ใช่ว่าอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาว่า อยากให้มีมากๆ วันนี้ให้รู้เยอะๆ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมะ แต่ต้องเป็นเรื่องที่บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้ ถ้าเข้าใจเพียงเท่านี้ก็คือเท่านี้ ถ้าได้ฟังอีกเข้าใจขึ้นอีก เท่าไรก็คือเท่านั้น
เพราะฉะนั้น การเป็นผู้ตรง ก็จะไม่ทำให้เราหลอกตัวเอง เพราะขณะใดที่หลอกตัวเอง ไม่ใช่ความจริง แล้วขณะนั้นก็เป็นเรื่องของโลภะ ซึ่งเป็นเรื่องของความติดข้องต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งจะต้องละ
ในพระพุทธศาสนาทรงแสดงหนทางที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมะ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะได้โดยการละ เพราะเหตุว่าถ้ายังติดข้องอยู่ ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้