ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยอธิบายบรรยายต่อไป คำว่า ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ หมายถึงปัจจุบันธรรม ใช่ไหมครับ
ส . ปัจจุบันธรรมก็เป็นคำที่แสดงว่า ต้องในขณะเดี๋ยวนี้ ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ใช่ครับ
ส. ถึงใช้คำว่าปัจจุบัน
ผู้ฟัง ทีนี้คำว่าจิตเราแปลก ชอบไปคิดถึงอดีต และอนาคต เพราะฉะนั้น คำนี้เน้นลงไปที่ปัจจุบันธรรม ใช่ไหมครับ
ส. ปัจจุบันคือขณะนั้นไม่ใช่จิตที่เห็น แต่เป็นจิตที่คิดเรื่องในอดีต
ผู้ฟัง สิ่งที่เป็นกำลังปรากฏ ไม่ต้องใช้คำปัจจุบัน เพราะมันบ่งชัดอยู่ เฉพาะเห็น เห็นแต่สี ได้ยินแต่เสียง ได้กลิ่น สักแต่ว่า ไปถึงตรงนี้ มันยังไกลครับ ที่ว่าจะไปถึง สักแต่ว่า เพราะว่ากิเลสมีทุกกองเลย เรายังไม่รู้เลยว่า กิเลสอยู่ตรงไหน เราจะไปลดละ กิเลส กว่าจะมาถึงตรงคำว่า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น อะไรอย่างนี้อาจารย์ช่วยอธิบาย
ส . บางคนก็คิดว่า พอบอกว่าขณะนี้ มีสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ซึ่งทุกคนก็รับว่าจริง ต้องมีแน่นอน เพราะว่ากำลังเห็น ก็ยังคงมีผู้ที่ต้องการมากกว่านี้อีก คือ จะรู้ได้อย่างไร จะประจักษ์ได้อย่างไร ในสภาพธรรมะที่ไม่ใช่ตัวตน เกิดแล้วก็ดับ นั่นไกลมากเลยจากขณะนี้ไปสู่ขณะนั้น ซึ่งการอบรมเจริญปัญญา ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปจริงๆ ไม่ใช่ว่าจากผู้ที่อบรมมาแสนกัป ที่จะรู้ว่า ที่ฟังก็สามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมะได้ อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านฟังท่านพระอัสสชิสั้นๆ แล้วเราฟังตั้งยาว หลายชั่วโมงแล้ว แล้วก็ต่อไปอีก แล้วก็ทางวิทยุ บวกไปบวกมาก็ฟังตั้งเยอะ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง ก็คือว่าขณะนี้ได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จริงไหม เท่านี้ก่อน แล้วที่เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คนหนึ่งคนใดเพราะคิดถึงรูปร่างสัณฐาน ซึ่งต้องเกิดหลังจากเห็น เหมือนกับทางหู ต้องมีการได้ยินเสียง แล้วก็มีการนึกคิดด้วยความทรงจำในความหมายของเสียงสูงๆ ต่ำๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเราได้ยินเป็นคำ เป็นเรื่องทันที นี่คือความรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น ความรวดเร็ว ที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะที่รวดเร็ว เหมือนเดิม ไม่มีใครไปทำให้จิตช้าลงได้ แต่ว่าเป็นการที่ฟังแล้วก็อบรม แล้วก็ค่อยๆ รู้ จนกว่าจะค่อยๆ ละความไม่รู้ หรือว่าความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม และวันหนึ่งก็จะถึงเวลาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะได้ แต่ต้องเป็นวันหนึ่ง ไม่ใช่ว่าวันนี้ที่กำลังฟัง แล้วทำอย่างไรที่ไม่ให้เห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ไม่ให้เห็น จิตเห็นไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่แล้ว ไม่ใช่มีใครต้องไปทำจิตเห็นให้ไปรู้ได้ จิตเห็นไม่สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร เพราะจิตเห็นเป็นชั่วขณะสั้นๆ ซึ่งเกิดเห็นแล้วดับ จิตเห็นไม่มีหน้าที่ที่จะพิจารณาที่จะรู้ที่จะจำในความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคลได้ ต้องจิตหลังๆ ซึ่งเกิดต่อ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่ามีใครไปเปลี่ยนสภาพธรรมะได้ แม้ว่าสภาพธรรมะจะเกิดดับเร็ว แต่ว่าปัญญาก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ แต่ถ้าเป็นไปด้วยความต้องการ มีประโยชน์อะไรที่จะเพียงเห็นแล้วไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ดีจริงหรือเปล่า เกิดมาเห็นแล้วไม่รู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร จะรับประทานอาหาร จะมีชีวิตปกติประจำวันได้ไหม เพียงแค่เห็น แล้วไม่รู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร
เพราะฉะนั้น เห็นที่นี่ไม่ใช่เห็นด้วยการพยายามไปทำให้เห็นอย่างนั้น แต่เห็นด้วยปัญญา แม้ว่าสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏมีจริงๆ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท แล้วก็ปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ ความรู้ก็คือรู้ว่า ขณะนั้นเป็นจริงอย่างนั้น แล้วขณะที่รู้ว่า เป็นคน เป็นสัตว์ ถ้าไม่คิด ก็ไม่มี อย่างในห้องนี้ ถ้าจะถามว่า มีอะไรบ้าง แต่ละคนก็ตอบตามที่คิด แต่ไม่ครบ จะคิดได้ละเอียดหมดไหมคะ ถึงจุดเล็กจุดน้อยตรงประตูบ้าง ตรงไหนบ้าง เยอะแยะ แต่ว่าเมื่อมีการนึกถึงรูปร่างสัณฐานใด ก็เหมือนเห็นสิ่งนั้น แต่ความจริงเห็นก็คือเห็น แล้วแต่ว่าจะมีการตรึกนึกคิดถึงรูปร่างสัณฐานสิ่งใด ก็จะมีการทรงจำว่าเป็นสิ่งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าให้เห็นโดยที่ว่าไม่ให้รู้ว่าเป็นอะไร ถ้าให้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาที่รู้ ตามความเป็นจริงว่าขณะที่เห็นไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งทีเห็นเป็นอะไร ต้องขณะหลังจากเห็น
เพราะฉะนั้น แม้ในขณะที่เห็น หรือหลังจากเห็นแล้วรู้ว่า เป็นอะไร ทั้งหมดไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ชั่วขณะ ๑ ขณะ ๑ ซึ่งเกิดดับสืบต่อแล้วก็ ทำกิจการงานตามประเภทของจิตนั้นๆ เท่านั้นเอง
นี่คือการรู้ความจริง แต่ว่าอย่าไปพยายามที่จะหาวิธีทำ ที่จะให้เห็นแล้วไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะว่านั่นไม่ใช่ปัญญา