เพียงชั่วขณะที่ปรากฎ


    ผู้ฟัง ขออนุญาตกราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ครับ ธรรมะคืออะไร เมื่อภาคเช้าท่านอาจารย์พูดอยู่คำหนึ่งว่า ธรรมะคือสิ่งที่กำลังปรากฏชั่วขณะหนึ่ง ธรรมะที่กำลังปรากฏชั่วขณะหนึ่ง ท่านอาจารย์มีความหมายลึกซึ้งมากอย่างไรครับ

    ส. เมื่อกี้นี้คุณประทีปรับประทานอะไรคะ

    ผู้ฟัง รับประทานอาหารกลางวันครับ

    ส. มีอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง มีข้าว มีกระเพาะปลาครับ

    ส. เดี๋ยวนี้ปรากฏ ไหมคะ

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ถ้านึกคิดก็มีปรากฏ นึกถึงเรื่องนั้นได้

    ส. แต่สิ่งนั้นปรากฏจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ปรากฏครับ

    ส. ขณะนี้อะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง ขณะนี้ก็มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง

    ส. เพราะฉะนั้น ขณะนี้อะไรเป็นธรรมะ

    ผู้ฟัง ขณะนี้ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ส. ทุกสิ่งที่มีจริง ปรากฏแล้วมีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ เสียง ชั่วขณะที่ปรากฏ ไม่มีแล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ เร็วมาก ทุกขณะ

    ผู้ฟัง เป็นเรื่องยาวๆ หรือว่าเรื่องสั้นๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้นมา

    ส. โดยมากทุกคนจะคิดถึงเรื่องยาว แต่ถ้าไม่มีขณะสั้นๆ ยาวๆ จะมีได้ไหม คะ

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีสั้นๆ ยาวๆ ก็มีไม่ได้ครับ

    ส. เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกัน ถ้าแยกให้ละเอียดที่สุด ก็คือขณะที่สภาพธรรมะใดเกิดปรากฏ ขณะนั้นคือมีจริงในขณะที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง แล้วถ้าฟังธรรม มีความเข้าใจในขณะระดับนี้ว่า ขณะที่มีธรรมปรากฏสั้นๆ แล้วก็เป็นยาวๆ เพียงพอที่จะทำให้สติปัฏฐานผมระลึกได้ไหมครับผม

    ส. ก็ไปคิดถึงสติปัฏฐาน แล้วก็หวังไปอีก ไกลไปอีก แต่ถ้าทุกคน จะกลับมาใกล้ตัวที่สุด คือฟังแล้วก็ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง นี่คือหนทางอบรม คือภาวนาแท้ๆ คือเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เป็นการฟังแล้วหวัง ฟังแล้วหวังว่าจะระลึกลักษณะของกายบ้าง เวทนาบ้าง จิตบ้าง ธรรมบ้าง ฟังแล้วหวังว่าจะให้มีปัญญาระดับนั้น หรือว่าสติเกิดมากๆ แต่ว่าขณะเดี๋ยวนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ ความเป็นผู้ตรง ก็คือว่า แม้การฟัง ก็ฟังพร้อมกับการรู้ว่า ฟังเรื่องของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ยังไม่ต้องข้ามไปถึงตรงไหนเลย เพราะว่าถ้าปัญญาจะรู้ความจริงของสภาพธรรมะ ก็รู้ความจริงของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ปัญญาจะสมบูรณ์ขึ้น ปัญญาก็รู้ลักษณะความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น เมื่อเวลานั้นยังไม่มาถึง แต่เวลานี้เป็นเวลาที่สภาพธรรมะมี แล้วเรากำลังฟังเรื่องสภาพธรรมะ ก็ควรที่จะรู้ว่า ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ กำลังมีจริง กำลังปรากฏในขณะนี้ ให้เข้าใจขึ้น นี่คือการอบรมเจริญปัญญา ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องสติปัฏฐาน หรืออะไรเลย นั่นคือก้าวไกลเกิน โดยที่ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะ ไม่ใช่ฟังเพียงเรื่อง แต่มีสภาพธรรมะปรากฏพิสูจน์ว่า เรากำลังเริ่มค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพที่มีจริงๆ หรือยัง เข้าใจ ขณะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย สติเกิดแล้ว จึงมีการระลึก จึงมีการศึกษา จึงมีการค่อยๆ เข้าใจลักษณะตัวจริงของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตถามหน่อย ไม่ถามให้ไกล ในขณะที่ฟังแล้ว ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีปรากฏอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เข้าใจต่อ ท่านอาจารย์ก็บรรยายต่อว่า ซึ่งเป็นนามธรรม และรูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ และสภาพรู้ พอผมเข้าใจในระดับนี้แล้ว มีเจตนาที่จะเข้าใจพระธรรมนี้มากขึ้น ก็เริ่มศึกษา อย่างที่ท่านอาจารย์เมื่อเช้าก็พูดถึงปรมัตถธรรม มีจิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เริ่มศึกษาว่ามีจิตกี่ดวง มีเจตสิกกี่ดวง มีรูปกี่รูปที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ การที่ศึกษาธรรมะมากๆ ซึ่ง มีจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ จิตดวงนี้เกิดกับอย่างนี้ เกิดกับวิบากบ้าง กิริยาบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้ การที่กระผมศึกษา อย่างนั้นมากๆ เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เพื่อที่จะเข้าใจธรรมะ ใช่ไหมครับ ท่านอาจารย์ครับ

    ส. ค่ะ ความรู้นิดเดียวพอไหม

    ผู้ฟัง คงไม่พอครับ

    ส. นี่ก็คือคำตอบ

    ผู้ฟัง ก็ยังสงสัยอยู่ เมื่อเวลาพูดถึงธรรมะแล้ว เมื่อเวลาสติเกิดหรือว่าในลักษณะที่ธรรมปรากฏ เขาจะมีแต่ลักษณะที่กำลังปรากฏ แล้วทำไมกระผมต้องไปเรียนว่า จิตดวงนี้ เรียกว่าโลภมูลจิต

    ส. จิตดวงนี้ ดวงไหนคะ

    ผู้ฟัง ที่เรากำลังศึกษาอยู่

    ส. นั่นสิคะ ดวงไหน

    ผู้ฟัง ดวงที่ยังไม่ปรากฏครับ

    ส. แต่ดวงที่กำลังพูดเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ครับผม

    ส. ใช่ไหมคะ นี่คือสิ่งที่เราเรียนมาแล้ว ที่จะต้องเข้าใจว่า ดวงนี้ จิตนี้ คือจิตอะไร ไม่ใช่ไปคิดถึงดวงอื่นเลย

    ผู้ฟัง ถ้ากำลังศึกษาเรื่องอะไรก็ตาม ต้องคิดว่า จิตในขณะนั้น เดี๋ยวนี้เอง ก็มี หรือครับ แล้วจะมีครบทั้ง ๘๙ หรือครับ ท่านอาจารย์ ครับ

    ส. ถ้าศึกษาแล้วจะทราบ

    ผู้ฟัง ตอนนี้เหมือนผมศึกษา แล้วผมก็ทราบ แต่ว่ามันแยกไม่ออกครับว่าขณะไหนเป็นโลภะ ขณะไหนเป็นโทสะ

    ส. ไม่ใช่ให้ใครไปแยก แต่ให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ถ้าไม่รู้ล่ะครับ ท่านอาจารย์

    ส. ไม่รู้ก็ต้องศึกษา ถ้าไม่ศึกษาจะรู้ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ผมกำลังจะถอยหลังมาเริ่มต้นศึกษาธรรมใหม่ ก็ควรเข้าใจในลักษณะที่กำลังปรากฏ อยู่ในขณะนี้เองเท่านั้นหรือครับท่านอาจารย์

    ส. ค่ะ รู้ว่า จิต เจตสิก รูป ไม่ได้อยู่ในตำราเป็นเล่มๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วทุกขณะ เห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ได้ยินเป็นจิตชนิดหนึ่ง ศึกษาไปศึกษามาก็รู้ว่ามีจิตกี่ชนิด

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ขอเข้าใจจุดมุ่งหมายในการที่ศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจในลักษณะอย่างนี้


    หมายเลข 10240
    10 ส.ค. 2567