รู้แค่นี้ พอมั้ย


    ผู้ฟัง ผมจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ธรรมะเป็นที่พึง คือถ้าเราไม่เข้าใจธรรมะ จะเอาธรรมะเป็นที่พึ่งคงไม่ได้ ใช่ไหมครับ ทีนี้เราเห็นชีวิตประจำวัน ธรรมะเป็นที่พึ่งตรงไหน ในเมื่อเราก็ต้องทำมาหากิน เพราะว่าถ้าไม่มีเงิน มีแต่ธรรมะอย่างเดียวก็เป็นที่พึ่งเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผมสรุปของผม ธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจ ส่วนการทำมาหากิน มีทรัพย์สมบัติก็คือที่พึ่งทางกาย ถูกไหมครับ

    ส. ค่ะ ก็แล้วแต่เราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่ว่าไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริง แล้วเราก็พอใจที่จะไม่รู้ หรือว่าเรารู้ว่าแม้ว่าเราจะมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่สิ่งที่ไม่มีคือปัญญา ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีอยู่

    ผู้ฟัง ผมก็จะมาพิจารณาดู ส่วนตัวผม คือว่า ธรรมะเป็นที่พึ่ง หมายความว่า เราเกิดมาเราก็ต้องสูญเสียสิ่งซึ่งเรารัก ถ้าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่งเมื่อเราสูญเสียสิ่งที่เรารัก เราก็ต้องเศร้าโศกเสียใจร้องไห้ร้องห่ม บางคนอาจจะคิดมากไปฆ่าตัวตาย อะไรอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง เราก็นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วก็เป็นธรรมดานี่เอง ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย แทนที่จะมานั่งเสียใจว่า ต้องตาย อะไรอย่างนี้ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเป็นที่พึ่ง คือผมเข้าใจของผมอย่างนี้ครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งบางครั้งของที่เรารักจากไป เราก็พิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่เที่ยง วันนี้มี วันหลังก็อาจจะหมดได้ พอมันหมดไปจริงๆ เราก็รู้แล้ว พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วว่า มีแล้วต้องหมด เราก็ไม่ทุกข์ คือสบายใจ หมายถึงเราเข้าใจธรรมะ ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมะ เราก็ยึด มันไม่น่าจากเราไปอะไรอย่างนี้ อันนี้ผมเข้าใจว่า อันนี้เป็นที่พึ่งของเรา คือธรรมะเป็นที่พึ่ง อันนี้ถูกหรือผิด

    ส. แล้วพอไหม รู้แค่นี้

    ผู้ฟัง ยังไม่พอครับ เพราะเรายังไม่ได้ละกิเลส กิเลสเรายังมีอยู่ครับ เป็นที่พึ่งได้ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง

    ส. ถ้ารู้ว่าไม่พอ เป็นประโยชน์ที่เราจะอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 10244
    10 ส.ค. 2567