ไม่มีขณะใดที่พ้นไปจากปรมัตถ์
ผู้ฟัง อาจารย์กำลังสอนปรมัตถ์พวกเราอยู่ แต่ทีนี้ในสภาพเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ปรมัตถ์
ส. ใช่ค่ะ ขณะนี้เป็นปรมัตถธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม
ผู้ฟัง ผมฟังได้ แต่มันก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้
ส. ถ้าขณะนี้ไม่ใช่ธรรมะ หรือไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่มีธรรมะ ตรงไหนเป็นธรรมะ ที่ไหนมี หาธรรมะที่อื่นไม่ได้เลย ต้องเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วเข้าใจสิ่งที่มี ที่เคยเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรื่องราวต่างๆ ว่า แท้ที่จริงๆ เป็นธรรมะหลากหลายชนิด มากมายหลายขณะ แต่ว่าธรรมะไม่ไกลตัวเลย อะไรเกิด ก็คือ ธรรมะเกิด ธรรมอะไร จิต เจตสิก รูปเกิด ถ้าไม่มีธรรมะ คือ จิต เจตสิก รูป คนก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเข้าใจถึงแก่นจริงๆ ถึงปรมัตถธรรมจริงๆ ว่า ความจริงที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ไม่เคยคิด คิดไม่ถึงด้วยตัวของตัวเอง ต่อเมื่อได้ศึกษาธรรมะ แล้วจึงเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมะอะไร ซึ่งทั้งหมดก็เป็นอนัตตา ฟังอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าห้ามใคร หรือว่าบังคับใคร หรือว่าบอกใครให้ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง เป็นไปไม่ได้เลย จนกว่าเมื่อศึกษาธรรมะ มีความเข้าใจแล้วก็ยังแล้วแต่เหตุปัจจัยด้วยว่า มีปัจจัยที่จะให้เกิดชอบ หรือว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดโกรธ ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมะ
ผู้ฟัง แต่ว่ามันเข้าใจยากเหลือเกิน เข้าใจยากจริงๆ
คุณอดิศักดิ์ เพราะว่าเราเอาเราเป็นบรรทัดฐานเข้าไปวัดกับธรรมะของพระพุทธองค์ซึ่งลึกซึ้ง
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น วิธีที่ผมควรจะทำก็คือว่า
คุณอดิศักดิ์ ก็เวลานี้ที่ทำได้ก็คือฟังธรรมะ ฟังปรมัตถธรรม
ผู้ฟัง ยอมแพ้แล้ว
อ.นิภัทร อย่าใจร้อน ต้องลูบๆ คลำๆ บ่อยๆ คือ สิ่งใดที่มันยาก สิ่งใดที่เราเห็นว่า มันเหลือวิสัย จริงๆ ถ้าหากเราตั้งใจจริงๆ สนใจ ใส่ใจอยู่บ่อยๆ บ่อยๆ สิ่งนั้นจะกลายเป็นของง่าย ของสะดวกขึ้น แต่ที่เราท้อถอย เพราะเราพอเห็นแล้วก็กลัวแล้ว ยังไม่ทันได้ทดลองเลย นี่เหมือนกัน ธรรมะนี้ถ้าเราคิดในทางธรรมะอยู่บ่อยๆ บ่อยๆ บ่อยๆ ไม่คิดถึงเรื่องอื่นมากมายนัก ก็จะทำให้เห็นว่า ธรรมะควรศึกษา ควรจะรู้ เพราะว่าไม่มีสิ่งอื่นแล้วที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้ เพราะว่าธรรมะท่านพูดถึงเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป ก็คือตัวเรานี้แหละ พูดง่ายๆ คือตัวเรา ถ้าเรายังจะทอดทิ้งตัวเรา แล้วใครจะมาช่วย
ส. คุณเด่นพงศ์บอกว่ายากมาก ใช่ไหมคะ ยิ่งพูดว่ายากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเท่านั้น เพราะคนที่คิดว่า ธรรมะง่าย ไม่ได้สรรเสริญพระปัญญาคุณเลย เพราะเหตุว่าง่ายเป็นของธรรมดา แต่ว่าเมื่อศึกษาแล้วจะรู้จริงๆ ว่า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ที่ได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ยิ่งทำให้เห็นพระคุณชัดเจนขึ้น แล้วก็ยิ่งรู้ว่า เป็นเรื่องที่ยากกว่าเรื่องอื่น จนกระทั่งแม้ครั้งเมื่อได้ตรัสรู้ก็ทรงไม่น้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรม เพราะเหตุว่าผืนกระแสของโลภะ วันนี้รับรองได้ว่า ไม่มีใครฝืนกระแสของโลภะ เคยฝืนบ้างไหมคะ แล้วแต่โลภะจะให้ทำอะไร แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องของกุศล ก็แล้วแต่ศรัทธา สติ วิริยะ ปัญญาที่ได้สะสมมาที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความคิด หรือการกระทำที่เป็นกุศล แต่ว่าวันหนึ่งๆ กุศลมากหรืออกุศลมาก เราก็พอจะรู้ว่า เราเป็นทาสของอะไร ของอกุศลทั้งนั้น ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ และถ้าไม่มีการศึกษา หรือว่าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจสภาพธรรมะ แล้วจะไม่ให้มีโทสะ และโลภะได้อย่างไร ถ้ายังคงมีโมหะ ความไม่รู้สภาพตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ลืม โอวาทปาติโมกข์ ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ความอดทน ความเพียร เพียรอย่างอื่นก็ยังทำได้ในทางโลก ขยัน ขันแข็งทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่ว่าเพียรที่จะเข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นจึงได้ปรากฏ ถ้าไม่มีสภาพธรรมะใดๆ เกิดในขณะนี้เลย อะไรจะปรากฏ แต่เพราะไม่รู้ว่า ขณะนี้ทุกอย่างที่เราคิดว่ามีอยู่ แท้ที่จริงตามความเป็นจริงก็คือ เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้น และเกิดแล้วก็ดับแล้วทันที
นี่คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มีหนทางอื่นไหมคะที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะในขณะนี้ ไม่รู้แม้แต่ว่าปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร และทรงแสดงเรื่องอะไร แต่ถ้ารู้ก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีใครพ้นจากธรรมะได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะแต่ละอย่างทั้งสิ้น