ถ้าทำเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เมื่อนั้น
อ.วิชัย ก็สังเกตว่าคนที่อบรมหิริโอตัปปะมาก ก็เห็นโทษแม้อกุศลเพียงเล็กน้อย แต่ว่าเมื่อเทียบกับตนเอง เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เป็นไร
สุ. แต่จริงๆ คนที่เห็นโทษของอกุศลเพียงเล็กน้อย แต่ยังมีเรา ก็ไม่มีหนทางเลย เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เขาสามารถเห็นโทษของอกุศลเพียงเล็กน้อย แต่เขายังไม่ได้ดับทิฏฐิการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อย แต่การสะสมทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้มากขึ้น แต่ก็อาจจะเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยเบาบางจากอกุศล แต่ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ธรรมะจึงต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง
ผู้ถาม การเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะ อันนี้เรียกว่าระลึกรู้แต่สภาพที่เป็นอารมณ์ของจิตหรือเปล่า
สุ. อบรม หมายความว่าทำให้เจริญขึ้น ให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังฟังเพื่อให้มีความเข้าใจขึ้นในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ฟังด้วยความมั่นคงว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เป็นธรรมะที่เกิดแล้วก็ดับด้วย ถ้ามีความเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ จะไม่มีการขวนขวายด้วยความเป็นเรา ด้วยความเป็นตัวตนที่จะทำ เพราะขณะใดที่ขวนขวายทำอื่น ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะเกิดแล้ว จะไม่เข้าใจปฏิจสมุปบาท จะไม่เข้าใจอนัตตา จะไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะว่าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้เมื่อไหร่ที่สติสัมปชัญญะเกิดก็รู้ และขณะที่หลงลืมสติก็รู้ แต่ไม่ใช่เป็นเราที่จะทำ ถ้าทำเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เมื่อนั้นเพราะเป็นเราที่ทำอย่างอื่น ไม่ใช่การเห็นถูก เข้าใจถูก ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา อยากให้มีสติสักเท่าไหร่ สติเกิดไม่ได้แน่นอนตามความอยาก เพราะว่าขณะนั้นเป็นตัวตนที่ต้องการ แต่ว่าถ้าเขามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ เหมือนขณะนี้เมื่อมีโสตปสาทก็มีการได้ยิน เพราะฉะนั้นถ้าเขามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็จะมีการระลึกคือรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ แม้ไม่นานเพียงชั่วครู่ ก็ยังรู้ความต่างกันของขณะที่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ส่วนใหญ่จะมีการคิดนึกตามมาว่าขณะนั้นเป็นจิตอะไร เป็นรูปอะไรเสมอ ก็จะเห็นได้ว่าขณะนั้นก็คือเราที่สงสัย ไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างจริงๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นในขณะนี้ถ้าใครพยายามจะไปอธิบายให้เขาฟังว่าจะระลึกอย่างไรจึงจะทำให้เห็นว่าไม่ใช่ตัวตนสัตว์ บุคคล เขาไม่มีความเข้าใจถูก ไม่ได้ให้ความเข้าใจถูกเขาเลยว่าเป็นเรื่องละด้วยความรู้ สิ่งที่ปิดกั้นอยู่ เราฟังมาไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ส่วนใดของพระไตรปิฎก เพราะอวิชชา และโลภะทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นสภาพธรรมะในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ ตราบใดที่ปัญญาไม่พอที่จะประจักษ์หรือแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมะนั้นๆ จะปรากฏไม่ได้เลย ก็ยังคงเหมือนเดิมเพราะว่าไม่ได้อบรมความรู้ความเข้าใจที่จะทำให้ค่อยๆ คลายความไม่รู้ แม้ในขั้นการฟังก็ต้องฟังเพื่อที่จะละโลภะที่จะทำ ไม่ใช่ไปแสดงวิธีว่าให้ทำอย่างนี้อย่างนั้นแล้วสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะได้ แต่เป็นเรื่องละความไม่รู้
ที่มา ...