ยึดถือเพราะไม่รู้


        ท่านอาจารย์ เพียงแค่กระดาษแล้วก็มีเส้นรูปร่างสัณฐาน ก็เป็นเรา คิดดูค่ะ อยู่ที่โน้นในกระดาษ แล้วตัวนี้ล่ะ ยิ่งยึดถือมากกว่านั้นแค่ไหน

        เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การยึดถือสภาพธรรมะด้วยความไม่รู้มากมาย แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น ต่อไปข้างหน้าอีกนานจะเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่วันนี้

        เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ความจริงรู้ยากก็จริง แต่สามารถฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วเห็นความไม่รู้ว่ามากมาย เห็นรูป แค่รูป เรา หรือคะ ยึดแล้ว แล้วตัวนี้จะยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน

        เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องฟังธรรมะด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่า เห็นอะไร เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นมีความไม่รู้แล้ว จึงเข้าใจ และยึดถือว่า นั่นเป็นรูปเรา เพราะไม่รู้ ใช่ไหมคะ

        เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นรูป หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าในขณะนั้นไม่ได้เห็นอย่างอื่น แต่เห็นรูป เพราะฉะนั้น แม้ในขณะนั้นปัญญาก็เกิดได้ สะสมได้ เจริญได้ ไม่ใช่ขณะอื่น เพราะในขณะนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ว่าที่ไหน อย่างไร เห็นอะไร ไม่สามารถละคลายการยึดถือว่าเป็นรูปของเราได้ ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงที่สามารถกระทบตาปรากฏให้เห็น เท่านั้นเอง ไม่ว่ารูปอะไร ไม่ต้องในรูปที่ถ่ายไว้ก็ได้ แม้ดอกไม้ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ทันทีที่มีจิตเห็นเกิดขึ้น สภาพรู้คือเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วไม่รู้ความจริงทั้ง ๒ อย่าง คือ ไม่รู้ความจริงว่าเห็นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเพียงธาตุที่ต้องเกิด ไม่เกิดไม่ได้ เมื่อมีสิ่งที่กระทบจักขุปสาท แล้วก็ถึงวาระที่กรรมจะต้องให้ผลทำให้เห็นสิ่งนั้น ไม่เห็นไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นไม่มีเห็น แต่เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบตา ถึงวาระที่จะเห็น เห็นเกิดแล้ว ไม่เห็นไม่ได้

        เพราะฉะนั้น ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่เห็นไม่ได้ ต้องเห็น และเห็นก็เกิดแล้วด้วย

        เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ และที่เคยปรากฏแล้ว และที่จะปรากฏต่อไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะไม่สามารถละการยึดถือว่า เราทั้งนั้นเลย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป นี่เป็นหนทางเดียวที่จะต่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ ซึ่งตราบใดที่ยังไม่รู้ก็ติดข้อง จะไม่ติดข้องไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นมีแล้วไม่รู้ก็ติดข้องในสิ่งนั้น

        ด้วยเหตุนี้ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจในสิ่งที่มีตลอดชีวิต แต่ไม่เคยรู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น และเป็นผู้ตรงด้วย ต้องไตร่ตรองทุกคำ และเมื่อไตร่ตรองแล้ว หลงลืมไปเรื่อยๆ ก็ฟังอีก ไตร่ตรองอีกว่า ขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ จริง หรือยัง ถ้ายังไม่จริง ก็ยังไม่พอ เพียงได้ยินแล้วก็ลืม ได้ยินแล้วก็ลืม แล้วอย่างนี้จะละการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตนได้อย่างไร

        อ.วิชัย เข้าใจทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟัง โดยปกติก็จะหลงลืม และสำคัญว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเลย

        ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้สาวกคือใคร

        อ.วิชัย ก็ต้องเป็นผู้ฟัง

        ท่านอาจารย์ ผู้ฟัง ฟังเท่านั้น หรือ

        อ.วิชัย ไตร่ตรอง พิจารณา แล้วก็เข้าใจ แล้วประพฤติปฏิบัติตาม

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราคิดมากเรื่องอื่น ลองดูซิคะ เราคิดเรื่องอะไร แต่คิดถึงสิ่งที่ได้ฟังบ้างไหม ไม่ว่าจะขณะใด ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ที่นี่ มีอะไรปรากฏ เพียงแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้แต่เพียงระลึก หรือคิดเป็นคำมีบ้างไหม คิดเรื่องอื่นทั้งนั้นเลย แล้วอย่างนี้จะให้เจริญปัญญารู้ความจริง ก็ต้องนาน และยาก แต่ต้องเป็นผู้ตรง รู้ได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ต้องเป็นผู้ตรงว่า เห็นอะไร

        อ.วิชัย แม้ความคิดก็ห้ามไม่ได้ ปกติก็คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้

        ท่านอาจารย์ คิดจะห้าม หรือเปล่า

        อ.วิชัย ห้ามไม่ได้

        ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่าห้ามไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคิดแล้ว คิดแล้วห้ามไม่ให้คิดได้อย่างไร ก็คิดแล้ว เกิดแล้ว คิดแล้ว เพราะไม่เข้าใจ ทั้งหมดเพราะไม่รู้ เพราะไม่เข้าใจความจริง เป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่เมื่อไรที่ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ อบรม สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกคำเป็นความจริง เป็นวาจาสัจจะ อย่างเห็นเกิดแล้วดับ จริง ขณะนี้เมื่อไม่ปรากฏ ความเป็นเราก็ยังยึดถือสิ่งที่เห็น จนกว่าเมื่อใดก็ตามไม่มีสภาพธรรมะอื่นปะปน เจือปนเลย มีแต่เห็นที่กำลังเห็นเท่านั้นจริงๆ กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เมื่อนั้นจะเข้าใจความหมายของคำว่า “ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งอื่นเลยทั้งสิ้น”


    หมายเลข 10282
    18 ก.พ. 2567