อัธยาศัยในธรรม


        การที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่เพียงเกิดแล้วดับ เป็นการสะสมอัธยาศัยในธรรมที่ประเสริฐสุดในชีวิต เพราะความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้


        พระธรรมเป็นสิ่งที่แม้กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้ความจริงของสิ่งที่ขณะนี้กำลังปรากฏแล้วก็หมดไปเร็วมากสุดจะประมาณได้ ไม่ทันที่ใครจะคิด ใครจะไตร่ตรอง ธรรมะนั้นก็หมดไปแล้ว

        เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสได้ฟังธรรมะแล้วได้ฟังอีกจากการได้ฟังมาแล้วแต่ปางก่อน เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ยินได้ฟังมาเลยจะไม่สนใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยาก และดูเป็นธรรมดา แต่ความลึกซึ้งน่าอัศจรรย์ ยิ่งว่าเวลาที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้ว จะเห็นพระปัญญาคุณว่า ละเอียด และไม่มีใครสามารถกล่าว หรือแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ได้

        เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องสะสมการได้ยินได้ฟังจากการเคยมีศรัทธา เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วในชาติก่อนๆ ซึ่งจะเป็นใคร เมื่อไร ก็ไม่รู้ในสังสารวัฏที่ยาวนาน แม้แต่ชาดกต่างๆ บุคคลในครั้งนั้นก็ได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นท่านพระอานนท์ เป็นท่านพระสารีบุตร ซึ่งก่อนนั้นก็เหมือนคนที่เริ่มฟังพระธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น

        เพราะฉะนั้น แต่ละคนในชาติก่อนจะเป็นใครก็ต้องเคยได้ยินได้ฟัง และเป็นผู้มีอัธยาศัยที่จะได้ศึกษา และฟังพระธรรมต่อไป จึงอยู่ที่นี่ในวันนี้ และเห็นประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ที่จะได้เข้าใจพระธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าทุกอย่าง เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริงทรงแสดงไว้ว่า สิ่งที่ควรระลึกถึงบ่อยๆ ก็คือความตาย พูดแล้วไม่ต้องกลัว เพราะตายกันทุกคน แต่จะตายเมื่อไร ไม่มีใครสามารถรู้ได้ แล้วก่อนตายจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่คนไม่คิดเลย สนุกสนานไปวันๆ หนึ่ง แต่ได้อะไรบ้างจากการเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ทุกชาติด้วยค่ะ คือต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่ได้ แล้วเกิดแล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องคิดเรื่องราวต่างๆ สุขทุกข์มากมาย แล้วหายไปไหนหมดไม่เหลือเลย จากบุคคลนี้ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า จะอยู่อีกนานเท่าไร จะเป็นบุคคลนี้อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี อาจจะหลายสิบปี แต่ก็ต้องจากไป จากไปแล้ว ไปไหน อันนี้ประมาทไม่ได้เลยว่า ต้องจากแน่ แล้วเตรียมตัวที่จะเป็นคนใหม่ เหมือนชาติก่อนเป็นใครก็ไม่รู้เลย แต่ทั้งหมดที่ได้ยินมาแล้วจากชาติก่อน และชาติหลังๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ทำให้เป็นบุคคลในชาตินี้ แล้วต่อไปก็จะมีคนใหม่เกิดขึ้นก็มาจากคนนี้ที่ได้สะสมกุศล และอกุศล

        เพราะฉะนั้น ก็ทำให้เรามีอัธยาศัยต่างๆ กัน แต่ก็ยังมีศรัทธาที่จะเข้าใจธรรมะ เพราะเหตุว่าตั้งแต่เกิดจนตายบางคนไม่เข้าใจ เกิดมามีความสุข มีความทุกข์ ก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เดี๋ยวบุญเดี๋ยวบาปแล้วก็จากโลกนี้ไป โดยไม่รู้ว่าอะไร แต่ตามความเป็นจริงประโยชน์ก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเราเที่ยง อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา หรือเปล่า สักอย่างเดียว ก็หลงไม่รู้ตามความเป็นจริง คิดว่ามีเราจริงๆ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง จนถึงที่สุดจึงจะกล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

        ฟังแค่นี้ เรารู้แค่ไหน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรปรากฏ ก็แสดงว่าไม่เกิด แต่ที่ปรากฏนี่เกิดจึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดเลยจะมีได้อย่างไร สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดแล้วก็ดับ ใครจะรู้

        เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริง ก็จะเห็นว่า คำที่ว่า พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงยาก ละเอียด ลึกซึ้ง แต่มีค่าที่สุด เพราะเหตุว่าทำให้แต่ละชาติสามารถเข้าใจถูกในความไม่แน่นอน ในความเปลี่ยนแปลง ในการเกิดขึ้นแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ละชาติก็มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ มีทั้งเป็นเศรษฐี เป็นยาจก เป็นโรค เป็นภัย เป็นทุกข์สาหัสก็แล้วแต่ แล้วก็หมดไป ไม่มีอะไรยั่งยืน

        เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือสามารถรู้ความจริง เพราะเหตุว่าที่ทุกคนเดือดร้อน รับรองได้เลย คำตอบคำเดียวว่า เพราะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วก็จะทำให้ไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่าความเข้าใจถูกทำให้รู้ความจริงว่า แม้ขณะที่กำลังเดือดร้อนก็ไม่ใช่เรา นี่สำคัญที่สุดที่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นคำจริง หรือเปล่า ที่ว่า ขณะนี้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป พอมารวมกันก็เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เมื่อแยกออกไปแล้วเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนั้นเกิดดับอย่างเร็วมาก

        นี่คือคำที่กว่าจะรู้ความจริงก็ต้องอาศัยฟังแล้วฟังอีก จนกระทั่งเข้าใจมั่นคงว่าจริงไหม เมื่อจริงแล้วยังไม่รู้ความจริงจนถ่องแท้ แต่มีหนทางที่จะรู้ได้อย่างนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ก็สะสมความรู้ต่อไป


    หมายเลข 10288
    18 ก.พ. 2567