ตรึกออกจากความติดข้อง
วิตกคืออะไร ในชีวิตประจำวันมีการตรึกที่จะออกจากกามบ้างไหม และอะไรที่จะเกื้อกูลให้มีการตรึกที่จะออกจากกามเพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมะต้องเข้าใจทีละคำ ละเอียดขึ้นๆ เมื่อกี้นี้พูดถึง “วิตกเจตสิก” เจตสิกเดียว เกิดบ่อยไหมคะ บ่อยๆ เว้นขณะไหนบ้างไม่เกิด น้อยมากเลย ชั่วขณะที่จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณเท่านั้นที่ไม่มีวิตกเจตสิก ถ้าพูดถึงชื่อใดต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ กามวิตก หรือเปล่า อยู่กับกาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ร้อนมาก วันนี้ก็พูดแต่คำว่า ร้อน เพราะทุกคนรู้สึกร้อน เพราะฉะนั้น จะพูดเรื่องไหน ก็เมื่อเรื่องนั้นกำลังมีจึงสามารถทำให้เข้าใจได้ว่า วันนี้ “วิตก” ของแต่ละคนไม่พ้นจากร้อน ทั้งๆ ที่ก็เห็น แต่ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ เพราะเป็นอุเบกขาเวทนา แต่ทางกาย แค่ร้อนก็ต้องเป็นทุกขเวทนา
เพราะฉะนั้น วันนี้ส่วนใหญ่ วิตกก็จะตรึกไปถึงสภาพธรรมะที่มีในขณะนี้ เป็นกามวิตก หรือเปล่า รู้จักชื่อแล้วเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ก็ต้องตรง ไม่ใช่เรียกชื่อได้ แต่เดี๋ยวนี้เป็นอะไรไม่รู้ อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จำไว้ได้เลยว่า ทั้งหมดเป็นกาม กามารมณ์ กามคุณ ทั้งนั้นเลย เพราะเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แล้วมีเนกขัมมะวิตกบ้างไหม ถ้าไม่มีเลยจะไม่ฟังธรรมะ แต่เพียงคิดจะเข้าใจ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ร้อนก็ร้อน จะไปรู้ทำไม พัดเอาดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดจะเข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แล้วไม่ใช่จิต แต่เป็นวิตกเจตสิก เป็นบารมี หรือเปล่าคะ เป็น คิดที่จะออกจากกาม โดยเข้าใจ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย แต่สิ่งนี้กำลังปรากฏ ออกจากความไม่รู้โดยการฟัง จนกระทั่งเป็นความรู้จริงที่ถูกต้องขึ้น นั่นก็คือเนกขัมมะวิตกที่คิดจะออกจากความไม่รู้ แม้ว่าขณะนี้บางคนอาจจะมาฟังเพราะเหตุว่าได้ยินได้ฟังบ้างก็น่าสนใจดี แต่ยังไม่รู้ว่า จุดประสงค์ของการฟังว่าเพื่ออะไร แต่ทั้งหมดประการแรกถึงประการสุดท้ายก็คือเพื่อมีความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นระดับไหน ก็ต้องถูกต้องแม้แต่ในเรื่องของสภาพธรรมะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คือ เห็นมีรู้แล้ว แต่วิตกก็มี คือ ตรึก หรือจรดในอารมณ์อื่น ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เห็น ได้ยิน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรา แต่ขณะใดที่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อกี้นี้รับประทานอาหารอะไร อร่อยไหม เติมรสอะไร หรือเปล่า ขณะนั้นก็เป็นไปในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ขณะนี้คือเนกขัมมะวิตกที่จะเข้าใจ แทนที่จะหลงเพลินไป ไม่รู้ต่อไป
เพราะฉะนั้น บางคราวก็มีเวลา ณ กาลครั้งหนึ่ง แล้วแต่ครั้งนั้นจะเป็นกาลของกุศล หรือกาลของอกุศล ก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป บังคับบัญชาไม่ได้ ฟังเพื่อเข้าใจ และความเข้าใจนี้เองเป็นสังขารขันธ์ มีใครต้องไปทำอะไรให้ลำบาก ให้เดือดร้อน ให้นั่งห่วง ให้กังวลว่า แล้วเมื่อไรจะรู้ให้มากกว่านี้ เมื่อไรจะรู้อย่างนี้ นั่นคือผิด เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา เจตสิกอื่นทั้งหมด เว้นเวทนาเจตสิก สภาพความรู้สึก และสภาพที่จำ เจตสิกอื่นทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ กำลังหน้าที่อยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครต้องไปทำอะไรอีก ข้อสำคัญก็คือฟังแล้วเป็นอย่างไร ออก หรือไม่ออกบ้าง แค่ “บ้าง” ยังไม่ถึงอย่างอุกฤต สูงสุดคืออกจากเพศคฤหัสถ์ แต่ถ้ายังไม่สูงสุดก็เป็นคฤหัสถ์ แต่ว่าค่อยๆ ละกาม ความติดข้องตามกำลัง แต่ไม่สามารถเป็นพระอนาคามีบุคคล ไม่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องละความติดข้องในความเป็นเรา อุปาทานขันธ์เสียก่อน ทิฏฐุปาทาน ต้องไม่ลืม ไม่ต้องไปหาเลย เห็นเดี๋ยวนี้ ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏ ไม่เข้าใจ นั่นก็เป็นอุปาทานแล้ว ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อุปาทานขันธ์ ก็คือสิ่งที่ปรากฏทั้งหมด แล้วไม่รู้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่ฟังเข้าใจเมื่อไร ก็มีหนทางที่จะออกจากความติดข้อง ยังอยากติดข้อง หรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะทุกคนไม่ชอบชื่อ “โลภะ” แต่อยู่โดยไม่มีโลภะได้ไหม
อ.กุลวิไล ก็ยังติดข้องอยู่
ท่านอาจารย์ แค่จะนอนก็ลำบากแล้ว นอนกลางดินกินกลางทราย เป็นอย่างนี้กัน หรือเปล่า หรือไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย ที่นอนก็ต้องนอนสบาย จะกินก็ต้องอร่อย แล้วอย่างไร ผู้นั้นจะเข้าใจความหมายของ “เนกขัมมะ” จริงๆ ที่จะออกจากกามได้ มีหนทางเดียว คือ เข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมะ แล้วค่อยๆ ละคลาย ไม่ใช่จะออกทันที เป็นพระอนาคามีบุคคลก่อนเป็นพระโสดาบันได้ไหม ก็ไม่ได้แน่นอน
เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริง ขณะที่ฟังธรรมะเข้าใจ ก็มีหนทางจะออกเล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ ตามความเข้าใจ ขณะใดที่เพลิดเพลิน นั่นก็ไม่ใช่หนทาง ไม่ใช่เนกขัมมะ