เป็นไปเพราะไม่รู้


        ที่ต้องมีการเห็น ได้ยิน และทุกอย่างที่เกิด และดับอยู่อย่างนี้ ก็เพราะยังมีความไม่รู้ การที่จะพ้นไปจากสภาพอย่างนี้ได้ก็ต้องด้วยความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งต้องอาศัยการฟังธรรมะด้วยความเข้าใจ


        ท่านอาจารย์ ใครยับยั้งไม่ให้สภาพธรรมะที่เกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดต่อไป แล้วก็ดับไปเรื่อยๆ ได้ไหมคะ มีใครสามารถยับยั้งได้ไหม

        เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้เลยว่า ทั้งหมดที่เกิดมาแล้วก็เป็นไปทุกชาติเพราะความไม่รู้ ไม่มีอะไรยับยั้งได้ ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะไม่รู้ใช่ไหมถึงต้องเกิด เพราะไม่รู้ใช่ไหมจึงต้องเห็น หรือเพราะรู้ ไม่รู้เลย

        นี่แสดงให้เห็นว่า ทุกคำสามารถเข้าใจได้จริงๆ เพราะกำลังเป็นจริงในขณะนี้ว่า เพราะไม่รู้ว่าจิตเมื่อกี้นี้เกิดดับทำให้ขณะต่อไปก็เกิดดับสืบเนื่องติดต่อกันจนไม่รู้อะไรเลย เมื่อไม่รู้มาแล้วตั้งแต่ต้น ก็ไม่รู้ต่อไปอีกๆ ๆ ๆ นั่นก็คือสังสารวัฏ เพราะเหตุว่าเริ่มจากแม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะจะเกิดดับอย่างไรก็ไม่รู้ก็ต้องเป็นไปตามความไม่รู้

        อ.คำปั่น เวลาที่กล่าวถึงความเป็นไปของสภาพธรรมะอย่างเห็น ได้ยิน ในขณะนี้ ก็ดูเหมือนว่า ไม่ได้ใส่ใจว่าเกิดขึ้นเป็นไปเพราะความไม่รู้ครับ

        ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่สามารถรู้อดีตที่นานแสนนานมาในสังสารวัฏ แต่ถ้าเราก็สามารถเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่าไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เห็นอีก พอเห็นดับก็ได้ยินอีก ทั้งหมดก็เพราะไม่รู้นั่นเอง

        เพราะฉะนั้น การที่สภาพธรรมะเกิดสืบต่อเป็นไปในสังสารวัฏจะหมดสิ้นได้ด้วยสิ่งเดียว คือ ความเห็นถูก ความรู้ถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก แม้ฟังธรรมะ ความไม่รู้ก็ยังมี เพราะเหตุว่าเริ่มฟัง และเริ่มเข้าใจเรื่องของธรรมะ แต่ยังไม่รู้สภาพธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งแยกกัน ทรงแสดงไว้ว่า จิตไม่ใช่เจตสิกใดๆ เลยทั้งสิ้น และเจตสิกแต่ละหนึ่งก็ไม่ใช่จิต และไม่ใช่เจตสิกอื่นใดทั้งสิ้น ต้องเป็นเฉพาะสภาพธรรมะนั้นอย่างนั้น เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยตามที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาจากความไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรม หรืออกุศลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด หมายความว่าเพราะไม่รู้จึงเกิด ไม่รู้ว่า กุศลมีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมะไม่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ต้องเกิดดับ ตรงกับที่ทรงแสดงไว้ว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารที่นี่หมายถึงกุศลเจตนา และอกุศลเจตนาใดๆ ทั้งหมด เพราะไม่รู้ และเป็นความจริงด้วยว่า ไม่รู้จริงๆ มิฉะนั้นจะเห็นพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมคะ ถ้าไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง และทรงพระมหากรุณาแสดงความจริง ใครจะได้ยินแม้คำว่า “ธรรมะ” เดี๋ยวนี้เอง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง อยู่ที่ไหน ที่มหาภูตรูป แต่มหาภูตรูปเองไม่สามารถกระทบกับจักขุปสาท แต่มีธาตุ หรือธรรมะอีกอย่างหนึ่งซึ่งปรากฏ เห็นจริงๆ มีจริงๆ กว่าจะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงอยู่ไหน ก็อยู่ที่มหาภูตรูป เพราะขณะนั้นไม่ได้เข้าใจในความเป็นธาตุอย่างหนึ่งอย่างใด มีแต่เข้าใจว่า เป็นเรา

        ในห้องนี้มีนกไหมคะ ลองดูทั่วๆ ไปซิคะ ไม่ได้หลอกให้ดู แต่ว่ามีไหม ผีเสื้อ ยักษ์ เทวดา แต่วันหนึ่งมี ทุกคนจะเป็นอะไร ใครจะรู้ แต่วันนี้ยังไม่เป็นเท่านั้นเอง ยังไม่เป็น แต่เดี๋ยวก็เป็น ใช้คำว่า “เดี๋ยวก็เป็น” ได้ไหมคะ แล้วว่าเดี๋ยวจะนานสักเท่าไร แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย จิ้งจก ตุ๊กแก มด ช้าง ได้หมดเลย อยู่ที่นี่ทั้งนั้น แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเป็นอย่างนั้นเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นถ้ามีเหตุจะให้เป็น

        เพราะฉะนั้น หนทางที่เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ฟังธรรมะ เพียงชั่วระยะเวลาที่สั้นที่สุด จะเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ได้ ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลก็เป็นได้ทั้งหมด อาจจะเป็นเทพบุตรก็ได้ หรือจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ ความไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟัง และได้สะสม และได้เข้าใจ

        เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของความเข้าใจธรรมะมีมาก แต่ก็รู้ว่า ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้ ก็ยังเป็นการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ คลายการยึดถือ ไม่ใช่ว่าอุปาทานจะหมดไปได้โดยง่ายเลย อุปาทานในรูปขันธ์ทุกรูป อุปาทานในเวทนา ความรู้สึกทุกประเภท อุปาทานในความจำ อุปาทานในโลภะ โทสะ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และอุปาทานในจิตที่กำลังเกิดทำกิจการงาน ขณะนี้เห็นก็มีอุปาทานแล้วว่า เป็นเรา

        เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องรู้ว่า ความละเอียด ไม่เว้นสักขันธ์เดียว เป็นอุปาทานทั้งหมด ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมะ

        เพราะฉะนั้น การฟังแต่ละวันก็เพื่อเข้าใจขึ้น หนทางเดียวจริงๆ มิฉะนั้นไม่ทรงแสดงว่า สาวก คือ ผู้ฟัง และสาวกบารมีไม่ใช่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือของพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ของผู้ที่ฟังเข้าใจ ต้องไม่ลืมด้วยว่า ไม่ใช่ฟังเท่านั้น แต่ฟังเข้าใจ

        เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจจริงๆ แล้วไม่เปลี่ยน เวลานี้ใครจะบอกว่า จิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตลอยไปลอยมา คนฟังก็ต้องรู้ว่า คนนั้นไม่สามารถเข้าใจถูกต้องว่า จิตคืออะไร เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม


    หมายเลข 10295
    18 ก.พ. 2567