รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง


        พระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เป็นสิ่งที่เข้าใจได้โดยยากยิ่ง เช่น ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ง่ายๆ แต่การตั้งตนไว้ชอบในการฟัง จะค่อยๆ ทำให้มีความเข้าใจ และละคลายความไม่รู้ไปทีละเล็กละน้อย


        รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง ไม่ต้องใช้คำมากมายเลย แต่รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง ยากแม้แต่จะได้ยิน มีธรรมะจริง วิทยุรายการธรรมะ ไม่เปิดวิทยุจะได้ยินไหม

        เพราะฉะนั้น แม้แต่จะได้ยินก็ยากยิ่ง เมื่อได้ยินแล้วที่จะรู้จะเข้าใจคำที่ได้ยิน ก็โดยยากยิ่ง ใครจะประมาทบ้างว่า เดี๋ยวก็รู้ เมื่อไรจะรู้ คำว่า “เมื่อไรจะรู้” ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่มีเลย เพราะคำตอบคือความเข้าใจของคนนั้นเอง ถ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะถามว่าเมื่อไรจะรู้ได้อย่างไร เวลานั้นก็ไม่รู้แล้ว ใช่ไหมคะ

        เพราะฉะนั้น เมื่อไรจะรู้ก็คือค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแค่ไหนก็รู้ว่า เข้าใจเพียงเท่านั้น แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมาย และไม่เป็นไปที่ทำให้คนฟังไปในทางที่ผิด ถ้าไม่ประมาท และเคารพในการฟังพระธรรมจริงๆ ว่า ฟังเพื่อเข้าใจแต่ละคำ ไม่ใช่คิดเองแล้วไม่ใช่หวัง และไม่ใช่เพื่อเรา เพราะเหตุว่าเพียงฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ มีเราที่จะหวังอะไรไหมคะ

        เพราะฉะนั้น ตราบใดที่คิดว่า เมื่อไรจะรู้ เมื่อไรจะเข้าใจ ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงชั่วคราว ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ เกิด ปรากฏ ดับไป แต่ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ฟังต่อไป แล้วจะรู้ว่า ปัญญาเท่านั้น ความเข้าใจเท่านั้นที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังซึ่งรู้ได้โดยยากยิ่ง ไม่ใช่ยากธรรมดา อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา พูดทุกวัน ได้ยินบ่อยๆ ถ้าได้ยินไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏ มี หรือที่จะไม่เริ่มเข้าใจขจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น

        เพราะฉะนั้น วันนั้น ไม่ใช่วันที่เพียงหวัง แต่ต้องมีเหตุที่สมควรว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะเหมือนกับได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เราก็จะประมาท แต่ผู้ที่มีปัญญาน้อย ในกี่อสงไขยมาแล้วก็อาจจะเคยได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ว่าพระองค์ไหน แต่เมื่อมีปัญญาน้อย ก็รู้เหตุว่าทำไมปัญญาน้อย ตั้งใจฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง หรือเปล่า หรือฟังแล้วเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมะไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไปเลย เหมือนฟ้าแลบ เก็บไว้ได้ไหม เห็นชัดเจน หรือยังว่า อะไรเป็นอะไร เพราะแสนสั้น

        เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังก็ดับไป ไม่ใช่หน้าที่ของใครเลย นอกจากธรรมะ คือ สังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น เข้าใจเมื่อไรต้องโยนิโสมนสิการ หรือเปล่าคะ ต้องไปทำอะไร หรือเปล่า ก็ชอบไปคิด แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องไปทำอะไรเลย เพราะสภาพธรรมะกำลังทำ ไม่มีใครทำ เข้าใจเมื่อไรก็คือเจตสิกที่เป็นโสภณเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจการงาน และปัญญาขณะที่เข้าใจถูกก็มีที่จะสะสมต่อไป

        นี่คือการฟังธรรมะด้วยการตั้งตนไว้ชอบ ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ปัญญานั่นเอง เพราะฉะนั้น ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกซึ่งเกิดในขณะที่ฟังโดยยากยิ่ง

        เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจเมื่อกี้นี้เองก็ละคลายความไม่รู้ไปน้อยมาก ทีละเล็กทีละน้อย ไปเรื่อยๆ และสิ่งที่สะสมมามากๆ วันหนึ่งก็สามารถหมดได้ เหมือนคนที่อยู่คนละฝั่งของมหาสมุทรไปสู่อีกฝั่งหนึ่งได้ แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ ปัญญา


    หมายเลข 10296
    18 ก.พ. 2567