ชีวิตที่คุ้มค่า


        ชีวิตที่มีประโยชน์ คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบกับพระพุทธศาสนา คืออย่างไร


        ที่สำคัญที่สุดคือขณะนี้ เป็นขณะที่หาได้ยากยิ่ง คือขณะที่มีโอกาสได้ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในชีวิต เพราะว่าชีวิตคือแต่ละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีในชีวิต ขณะนั้นก็ผ่านไปโดยที่เมื่อไรมีโอกาสจะได้ฟัง และเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ทุกอย่างไม่ได้เกิดเพราะความต้องการ ทุกคนอยากไม่มีกิเลส อยากมีปัญญา อยากรู้ความจริงของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ไม่ใช่จะสำเร็จไปด้วยความอยาก เพราะสิ่งที่มีในแต่ละขณะก็มีทุกขณะ แต่ก็ไม่เข้าใจ แสดงถึงความยาก ความลึกซึ้ง ความละเอียดอย่างยิ่ง

        เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐสุด คือ แต่ละ ๑ ขณะที่มีโอกาสได้ฟังความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งนี้ไม่ได้รู้โดยง่าย ผู้ที่จะรู้ได้ไม่ใช่บำเพ็ญความดีในเวลาสั้นๆ แล้วจะรู้ได้ แต่ต้องอาศัยการรู้จักสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ตรงต่อธรรมะ แล้วก็รู้ว่า หนทางเดียวที่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เคยหลงยึดถือว่า เที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงแม้ในขณะนี้ ก็ต่อเมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม พระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว

        เพราะฉะนั้น โอกาสที่แต่ละหนึ่งคนจะได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่เพียงแต่ว่า เมื่ออยากฟังก็ได้ฟัง แต่การที่จะได้ฟังแม้ในวันนี้ ก็จะเห็นได้ว่า บางคนอยากจะมาฟัง แต่ก็มาไม่ได้ด้วยเหตุต่างๆ นานาประการ

        เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังก็รู้ได้ว่า ขณะที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือได้ฟังด้วยความเคารพเพื่อที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเพียงเห็นรูปพุทธปฏิมากรเตือนให้ระลึกถึง แต่รูปนั้นก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะไม่ได้เข้าใจความจริงเพียงการกราบไหว้ แต่ด้วยการรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ก็คือเป็นสิ่งที่มีในขณะนี้ แล้วสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกได้ต่อเมื่อได้ฟัง

        เพราะฉะนั้น การได้ฟังแต่ละครั้งก็เป็นสิ่งที่ยาก เพราะเหตุว่าแม้สิ่งนี้มีจริง มีศรัทธา มีจิตผ่องใส ไม่ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่โกรธเคือง หรือไม่ขุ่นเคือง ขณะนั้นจิตสามารถรับฟังพระธรรมด้วยการที่ว่า เมื่อฟังแล้วจะเห็นความยากยิ่งว่า กว่าจะได้รู้คำที่ได้ยินได้ฟังโดยยากยิ่ง ทั้งแม้การได้ฟัง และในการที่ฟังแล้วจะรู้ความจริงของที่ได้ฟังก็ยากยิ่ง แต่ก็มีบุคคลในครั้งก่อนนานแสนนานมาแล้วคิดอย่างนี้ แต่ก็ไม่ละความเพียร และเมื่อมีโอกาสเมื่อไรก็สามารถสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง เพราะรู้ว่า ขณะนี้ ธรรมดาอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริง โดยใช้เวลานานมาก

        เพราะฉะนั้น เราเป็นใคร ก็คือผู้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แล้วรู้ว่า ยากที่จะรู้ตามอย่างที่ทรงแสดง รู้อย่างอื่นจะเป็นความจริงได้ไหม ในเมื่อความจริงก็คืออย่างนี้แหละ

        เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ฟังเพื่อชำระจิตจากความไม่รู้ ทำให้เกิดติดข้องที่นำมาซึ่งการประสบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เที่ยง เพียงชั่วคราว แม้แต่ชาตินี้จะอยู่นานสักเท่าไร ไม่มีใครบอกได้เลย แต่ชีวิตที่เป็นอยู่คุ้มค่ากับการเกิดมา หรืออยู่ไปวันๆ สุขทุกข์ไปวันๆ แล้วจากโลกนี้ไปโดยเก็บความไม่รู้ติดตามไปด้วยมากมายทุกชาติ

        เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจจริงๆ ก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดง แต่ละคำไม่ผ่าน และไม่เผิน แม้แต่คำว่า “ธรรมะ” ก็ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ กำลังปรากฏ แล้วเข้าใจแค่ไหน ถ้ารู้ว่า ไม่สามารถรู้การเกิดดับของสภาพธรรมะที่มีจริง เพราะเหตุว่าความไม่รู้กั้นไว้มาก แล้วยังติดข้อง อาจจะต้องการรู้จนกระทั่งไปทำอย่างอื่นที่ผิดปกติ และไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เห็นได้ว่า ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่ขณะนี้ที่ฟังสิ่งที่ปรากฏ ถ้าฟัง ทุกคำยากลึกซึ้ง และละเอียด อาศัยความเข้าใจเท่านั้นที่ทำให้ละความคิดที่เป็นตัวตนจะไปรู้ความจริง เพราะเหตุว่าการรู้ความจริงได้ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น


    หมายเลข 10300
    18 ก.พ. 2567