ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง
การที่จะประจักษ์แจ้งธรรมะนั้น ต้องเป็นในขณะที่ธรรมะนั้นกำลังปรากฏ ให้รู้ตามความจริงด้วยปัญญาของผู้นั้นเอง ดังนั้นธรรมะจึงเป็นสิ่งที่ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ธรรมอันผู้บรรลุพึงเห็นเอง หมายความว่าเมื่อรู้ธรรมะนั้นๆ ถึงจะชื่อว่า บรรลุ คือรู้แจ้งสภาพธรรมะในขณะนั้นจะไม่ผ่านแต่ละคำว่า เราเข้าใจคำถามไหม แต่คำถามนั้นหมายความถึงธรรมะที่ผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ใช่คนอื่นเห็น แต่ต้องเป็นผู้บรรลุ คือสามารถรู้ความจริงของธรรมะที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จึงชื่อว่า พึงเห็นเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอก คนอื่นบอกสักเท่าไรว่า ขณะนี้สภาพธรรมะเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ บรรลุ แล้วเห็นเองหรือยัง
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจโดยละเอียดด้วยว่า กล่าวถึงธรรมะซึ่งไม่ใช่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้เลย เพียงได้ยินคำถาม และได้ฟังคำตอบ ก็คือว่าเข้าใจ แต่ต้องละเอียดจริงๆ ว่า ถามว่าอะไร คำตอบนั้นต้องตรงแน่ เพราะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผู้บรรลุพึงเห็นเอง เดี๋ยวนี้มีอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะบรรลุ และเห็นเองได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้าบรรลุแล้วเห็นเองต้องไม่เป็นขณะอื่น นอกจากขณะนี้ที่สภาพธรรมะนั้นปรากฏว่ามี อย่างโลภะ จะพูดถึงอันตรายของโลภะ แต่ถ้าไม่มีโลภะที่กำลังมีในขณะนี้ จะเห็นอันตรายของโลภะที่กำลังมีในขณะนี้ไหม เพราะขณะนี้เป็นโลภะที่เกิดก็ไม่เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นโทษ แล้วจะไปกล่าวถึงโทษของโลภะมากมายขณะที่โลภะไม่ได้ปรากฏ จะเข้าใจได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น แม้ว่าธรรมะทั้งหลายที่ไม่ดีเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นเป็นโทษ ก็ต้องในขณะนั้นที่สภาพนั้นกำลังปรากฏ แล้วบุคคลนั้นสามารถเห็นเองโดยการรู้ลักษณะของธรรมะนั้นจริงๆ ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาลว่า ตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนสาย ตอนค่ำ หรือที่ไหน ผู้บรรลุไม่ใช่ใครเลย ต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้วที่สามารถเข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมะทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นธรรมะ โลภะก็มี เห็นก็มี โกรธก็มี ทุกอย่างมี แต่ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ข้ามข้อนี้ไม่ได้เลย ถ้ากล่าวทบทวนก็ทำให้เข้าใจชัดเจนว่า ตรงกับที่เป็นคำถามของพราหมณ์ และเป็นคำตอบหรือเปล่า เพราะอ่านธรรมะครั้งเดียวไม่พอ อ่านมาแล้ว ๒๐ ปี ๓๐ ปี อ่านอีกครั้งหนึ่งก็จะรู้ว่า แต่ละคำมีความสำคัญ และความละเอียดมาก ไม่ใช่เพียงฟังแล้วคิดว่า จะเห็นโทษของโลภะประการต่างๆ เห็นโทษของโทสะประการต่างๆ เห็นหรือ รู้จักโลภะหรือ เห็นโทษของโลภะหรือ ก็ไม่ใช่เลย เพราะเหตุว่าแม้โลภะมีในขณะนี้ยังไม่ได้บรรลุ รู้แจ้งสภาพของโลภะว่าเป็นธรรมะที่ผู้บรรลุพึงเห็นเอง แม้ว่าทรงแสดงไว้มากมาย ๒,๕๐๐ กว่าปี เราอ่านมาแล้วตั้งแต่ ๔๐ ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี ต่อไปจะอีกกี่ปีก็ตาม อ่านอีกครั้ง เข้าใจเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมอยู่ที่เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขออ่านทบทวนอีกครั้งหนึ่ง
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ย่อมตรัสว่า ธรรมะอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ธรรมะอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ดังนี้
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ธรรมะจึงเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
ขณะนี้มีโลภะ ไม่น้อมที่โลภะ แล้วจะรู้จักโลภะไหม แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควรเรียกให้มาดู เพราะดูแล้วเกิดปัญญา เกิดความเห็นถูกต้อง เป็นประโยชน์มาก ไปดูอย่างอื่นเป็นประโยชน์ไหม ดอกไม้สวยๆ ภูเขา ทะเล แม่น้ำ ดูแล้วมีประโยชน์ไหม แต่สิ่งที่ควรดู เพราะเมื่อดูแล้ว เข้าใจแล้ว มีประโยชน์อย่างยิ่ง คือสิ่งที่มี แล้วไม่เคยสนใจที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีแน่ๆ เกิดแน่ๆ แล้วดับแน่ๆ ตลอดเวลา ก็ไม่เคยดู เพราะฉะนั้น ใครเชิญให้มาดู ต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ว่า เมื่อดูแล้วจริงๆ จะเกิดความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าไม่ดู ถึงจะพูดว่า โลภะมีโทษ โทสะมีโทษ โมหะมีโทษ แล้วอยู่ไหน แล้วเมื่อไร แต่ไม่รู้เลย แต่ขณะนี้กำลังมี เพราะฉะนั้น ควรเรียกให้มาดู