อดทนข้ามฝั่ง


        การได้ฟังพระธรรมเป็นโอกาสที่ดียิ่ง ที่จะได้สะสมความเข้าใจเพื่อการขัดเกลา และข้ามพ้นกิเลส แต่ต้องเป็นปกติ และค่อยเป็นค่อยไป นั่นคือ ความอดทนที่จะข้ามพ้นจากฝั่งคือกิเลส


        ตามความเป็นจริง ไม่ผิดเลยสักนิดว่า ทุกคนมีกิเลสมากๆ ประมาณไม่ได้เลย ทุกชาติ ทุกวัน ทุกขณะที่สภาพธรรมะเกิดปรากฏแล้วไม่รู้ จะนับได้ไหมว่ามีมากเท่าไร นี่คือความรู้ที่ถูกต้อง เป็นบุญที่ได้ฟังพระธรรม แค่นี้จริงหรือเปล่า เป็นบุญที่ได้ฟัง ไม่ใช่เป็นบุญที่จะหมดกิเลสในชาตินี้ หรือกิเลสมากๆ ที่สะสมมาจะหมดเพราะได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ เพียงแต่มีปัจจัยทำให้มีโอกาสได้ฟังคำที่จะได้ยินโดยยากยิ่ง ยุคนี้สมัยนี้จะไปเอาคำนี้มาจากไหน เป็นพระธรรมที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ทั้งโลก เฉพาะมนุษย์ บนสวรรค์มีศาลาสุธัมมา มีท่านอนาถบิณฑิกะ มีท่านวิสาขามิคารมารดา มีพระอริยเจ้าที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก มีโอกาสคงได้พบ แต่ใครจะรู้ ถ้าไม่มีบุญที่จากโลกนี้ไปแล้วจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังอีก ซึ่งเป็นคำที่ได้ยินโดยยาก เลือกไม่ได้เลยว่าจะได้ยินหรือเปล่า

        เพราะฉะนั้น กำลังสะสมปัจจัยที่จะมีโอกาสได้เข้าใจคำที่ได้ยินโดยยาก ได้เข้าใจคำที่ได้ยินโดยยากด้วย ขณะนี้จึงเป็นโอกาสที่ประเสริฐที่ได้ฟัง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น พร้อมเป็นปัจจัยให้ได้ฟังอีกต่อไป

        อย่างนี้สบายดีไหม ไม่เดือดร้อนเลย ไม่หวังว่ากิเลสของเราที่มีมากแล้วพรุ่งนี้หรือเมื่อไรเราจะเข้าใจขึ้นอีก ไม่ต้องไปคิดเรื่องจะเข้าใจขึ้นอีก เมื่อมีปัจจัยก็เข้าใจ แต่ถ้าไม่มี จะเข้าใจได้อย่างไร ฟังแล้วลืมเลย ฟังแล้วไม่ฟังอีกเลย ฟังแล้วไม่เห็นประโยชน์เลย ไม่มีทางเข้าใจขึ้น แต่ถ้ารู้ค่าจริงๆ ของสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่า จากไม่รู้เป็นรู้แล้วเข้าใจขึ้น แม้ทีละคำ ทีละน้อย ก็เป็นประโยชน์แล้ว แล้วจะต้องเดือดร้อนไหม เพราะขณะนั้นเป็นสัมมามรรคจริงๆ สัมมามรรคคือหนทางถูก ที่ไม่เป็นไปทางฝ่ายโลภะ และโทสะ ไม่ต้องการเกินที่จะเป็นไปได้ หรือเป็นโทสะ ไม่ต้องการสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่อยากรู้เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่อยากรู้คิดเดี๋ยวนี้ ไม่อยากรู้ได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่อยากรู้แข็งเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีโอกาสรู้เลย นั่นคือตกไปในฝ่ายโทสะ หรืออยากรู้สิ่งนั้น อยากรู้สิ่งนี้ อยากรู้อินทรีย์ แต่สัมมามรรค คือ ขณะนั้นไม่เป็นไปด้วยโลภะ และโทสะ เพราะปัญญาสามารถเข้าใจถูกว่า อีกนานกว่าจะรู้ เพราะไม่รู้มานาน กว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้น จนสามารถดับกิเลสไม่เกิดอีก ไม่ใช่ระงับไว้ชั่วคราว แบบคนไม่รู้ที่ต้องการไม่โกรธ ต้องการไม่โลภชั่วคราว ทำอะไรก็ได้สั้นๆ ง่ายๆ แต่ไม่รู้หนทางดับกิเลส ดับเชื้อของอนุสัยกิเลสที่ทำให้เกิดกิเลสทั้งหลายให้หมดไป ไม่เกิดอีกเลยได้ ดับจริงๆ ไม่เกิดอีกเลยจริงๆ ก็ต้องอดทน บารมีทั้งหลายก็สามารถเข้าใจได้ว่า เป็นคนละฝั่งกับกิเลส ฝั่งหนึ่งไม่มีกิเลสเลย ฝั่งนี้เต็มไปด้วยกิเลส

        เพราะฉะนั้น การจะไปสู่ฝั่งที่ไม่มีกิเลส ก็ต้องมีคุณความดีหรือบารมีเพื่อสละความติดข้องในทุกอย่าง เพราะพื้นฐานมาจากความไม่รู้ และความเป็นเรา ซึ่งลึกมากปิดกั้นไม่ให้ออกไปสู่ความจริง เหมือนลูกดาลใหญ่ที่ปิดกั้นไว้ไม่ให้ออกไปได้ ทรงแสดงอุปมาทุกอย่าง หรือเหมือนคนที่ถูกจองจำไว้ในบ้าน ล้อมรั้วไว้รอบ กั้นไว้ ไปไหนไม่ได้

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยเข้าใจความจริงว่า มีกิเลสมาก ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจ จึงจะละกิเลสได้ เพราะอย่างอื่นละกิเลสไม่ได้เลย นอกจากปัญญาที่รู้จึงละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังของปัญญา

        เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะก็สบาย ไม่ได้ทำอะไรผิดปกติ ชอบดูหนัง ไปดูได้ไหม เพราะถ้าไม่เป็นปกติ จะไม่เห็นธรรมะที่เข้าใจว่าเป็นเรา ตามที่ได้สะสมมาซึ่งเป็นอุปนิสยโคจรของแต่ละคน ทำให้โน้มเอียงไปในแต่ละขณะ

        เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะรู้จริงๆ ว่า ไม่ใช่เราเลย เป็นธรรมะจริงๆ ชีวิตต้องเป็นไปตามปกติ ถ้าผิดปกติ ด้วยความอยาก ด้วยความต้องการ เป็นเครื่องกั้น ไม่ใช่ทำให้ถึงเลย เพราะถึงจริงๆ ต้องละความไม่รู้ในสิ่งที่มี ที่เกิดแล้วด้วย สิ่งที่ยังไม่เกิด ไปพยายามทำให้เกิดด้วยความเป็นตัวตน แล้วสิ่งที่เกิดแล้ว ทำอย่างไร ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้เกิดได้ เพราะมีปัจจัยให้เกิด

        เพราะฉะนั้น หนทางผิดก็ปิดกั้นหนทางถูก


    หมายเลข 10317
    31 ธ.ค. 2566