ฟังธรรมทำไม
ฟังธรรมเพื่อให้สบายใจ หรือฟังเพื่อความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วเกิดปีติ ต่างจากความต้องการให้สบายใจหรือไม่ และการฟังธรรมด้วยความเข้าใจ ต้องเป็นไปด้วยความเป็นปกติ ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนที่จะฟังใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ ปกติมีเราอยู่แล้ว เป็นเราอยู่แล้ว แต่ขณะใดก็ตามที่เข้าใจความจริง เข้าใจไม่ใช่ฟังเฉยๆ เพราะฉะนั้น ผู้ฟังสามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้นฟังเข้าใจหรือเปล่า หรือว่าวันนี้จิตใจไม่สบายมาฟังธรรมะดีกว่า เพื่อหวังความสบายใจเท่านั้นเอง อย่างนั้นฟังเพื่อเข้าใจหรือเปล่า แต่มาฟังเพื่อความสบายใจของตัวเอง หรืออยากไปทำบุญใส่บาตรก็เพื่อให้ตัวเองสบายใจ อย่างนี้ก็ไม่ได้เข้าใจว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมะ
ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมะจึงต้องรู้ว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง ๑ รู้ยาก ลึกซึ้ง ต้องอาศัยการฟังแล้วจึงเข้าใจในความเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่า ควรเข้าใจสิ่งที่มีจริง จะไปเที่ยว หรือดูหนังดูละครดีกว่า แทนที่จะฟังธรรมะ ขณะนั้นไม่เห็นประโยชน์ แต่ผู้ที่จริงใจรู้ว่า ทำไมฟัง เพราะไม่รู้ ควรรู้ไหม รู้ได้ไหม มีหนทางจะเข้าใจไหม ผู้นั้นเป็นผู้ตรงที่รู้ว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เรียนวิชาอื่น เรียนเพื่ออย่างอื่นใช่ไหม แต่ถ้าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ก็รู้ว่า ไม่ใช่เพื่อไปทำมาหากิน แต่เพื่อเข้าใจจากการไม่เข้าใจ ก็เข้าใจตรงตามที่ฟัง ฟังเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อให้สบายใจ
เพราะฉะนั้น บางคนฟังเพื่อความเป็นตัวตน คือ ฟังธรรมะแล้วสบายใจ ชัดไหมคะ เพื่อตัวตนหรือเปล่า เพราะเป็นตัวตนอยู่แล้ว แล้วฟังเพื่อสบายใจ แล้วก็พอใจด้วย ฟังแล้วสบายใจ แต่คำตอบนี้ไม่ตรงกับจุดประสงค์ของการฟัง ฟังแล้วเหมือนคนพูดธรรมะเพื่อให้เขาสบายใจเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่เพื่อเข้าใจ ไม่ถูกต้องใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่า ฟังแล้วเข้าใจ คนที่พูดหรือสนทนาธรรมะก็ปีติว่า ฟังแล้วเข้าใจ แต่ถ้าฟังแล้วสบายใจก็เท่านั้นเอง แค่สบายใจจะได้อะไร นอกจากความเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็รู้จากการฟังแล้วเข้าใจว่า ขณะนั้นตั้งจิตไว้ชอบโดยไม่มีใครตั้ง แต่จิตนั้นที่เข้าใจธรรมะ ไม่หันไปทางอื่น ตั้งไว้ในความถูกต้อง คือ ฟังเพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ
ผู้ฟัง มาฟังธรรมในวันอาทิตย์หรือวันสำคัญ
ท่านอาจารย์ เพื่อตัวเองหรือเปล่าที่ไม่ไปที่อื่น ธรรมะละเอียดไหม ถ้าแล้วแต่เหตุปัจจัย จะต้องไปก็ไป เพราะฉะนั้น บางคนเสียดายที่วันนี้ไม่ได้ฟัง แล้วเวลาฟังแล้วไม่ได้ฟัง ไม่เสียดายหรือ กลับมาเสียดายเวลาไม่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า เมื่อเป็นปกติ คือแล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น นั่นคือผู้เข้าใจธรรมะ ไม่หวั่นไหวเพราะรู้ว่า เป็นธรรมะ ได้ฟังก็ได้ฟัง ไม่ได้ฟังก็ไม่ได้ฟัง จำเป็นที่จะไม่ได้ฟัง แต่ถ้ามีโอกาสแล้วไม่ฟัง เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีเวลาก็ไม่ฟังก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ธรรมะก็เป็นเรื่องละเอียด และตรง ถ้ามาได้แต่ไม่มา ถ้ามาได้แต่ต้องไปโรงพยาบาล แล้วจะไปเสียดายอะไร ก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผลของการฟังคือเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่ความรู้สึกเสียดายก็เป็นธรรมะ ไม่เสียดายก็เป็นธรรมะ ทุกอย่างเป็นธรรมะ เลือกไม่ได้เลย เพราะมีปัจจัยเกิดขึ้นชั่วคราว สั้นมาก แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาให้เสียดายอีกเลย จะไปเสียดายอะไรกับสิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก ไม่กลับมาให้เสียดายด้วย ถ้าเข้าใจจริงๆ จะเดือดร้อนไหม ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรมะ ขณะที่กำลังเข้าใจ จะเป็นอื่นไม่ได้ จะเป็นไม่เข้าใจไม่ได้ แต่ขณะที่เข้าใจ ก็จะเป็นไม่เข้าใจไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะเข้าใจก็มี ก็สะสมไป