สติเกิดบ้างไหม
สติคืออะไร ขณะใดสติเกิดบ้าง สติมีระดับต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า “สติ” แต่รู้จักสติหรือยัง สติคืออะไร
ผู้ฟัง สติคือเจตสิกชนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เจตสิกคืออะไร
ผู้ฟัง ธรรมะชนิดหนึ่งที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีสติไหม ได้ยินชื่อว่า สติ แต่เวลาสติเกิด รู้ไหมว่า ขณะนั้นสติเกิดแล้ว สติไม่เกิด รู้ไหมว่า ขณะนั้นไม่มีสติ
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ยิน คือ เดี๋ยวนี้ ถ้าฟังธรรมะคือให้เข้าใจตามความเป็นจริง ได้ยินคำว่า “ธรรมะ” คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก แต่ก็สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ สภาพที่มีจริงบางอย่างไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย สภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่งต่างกับสภาพธรรมะที่ไม่สามารถรู้อะไรได้ ตรงกันข้าม คือ เกิดขึ้นต้องรู้ สภาพที่รู้ก็หลากหลายมาก
เพราะฉะนั้น สติเป็นสภาพรู้หรือไม่รู้ และรู้อะไร เมื่อบอกว่า สติเป็นสภาพรู้ แล้วสติรู้อะไร เพียงขณะที่กำลังเห็น ชั่วขณะที่เห็นมีสติเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มีสติ
ท่านอาจารย์ ขณะได้ยิน มีสติเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มีสติ
ท่านอาจารย์ และเมื่อเห็นดับไปแล้ว มีสติเกิดสืบต่อทันทีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ยังไม่สืบต่อทันที
ท่านอาจารย์ แล้วสติเกิดเมื่อไร วันนี้สติเกิดขึ้นบ้างหรือยัง ตอนนี้รู้จักสติแล้วใช่ไหม กำลังเห็นไม่มีสติเกิดร่วมด้วย จิตเห็นดับไปแล้ว สติก็ยังเกิดร่วมด้วยไม่ได้ เพียงแต่รับรู้สิ่งที่เห็นสืบต่อ เป็นสัมปฏิจฉันนจิต แล้วหลังจากนั้นก็เป็นสันตีรณจิต โวฏฐัพพนะ และหลังจากนั้นวันนี้สติเกิดบ้างไหม จะรู้จักสติ จะพูดถึงสติว่า สติมีเท่าไร จะเกิดหรือไม่เกิดอย่างไร ก็ต้องละเอียด และเข้าใจจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงชื่อ ชีวิตจริงๆ วันนี้สติเกิดบ้างไหม หลังเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว เป็นต้น เพราะตั้งแต่เช้ามาก็เห็น แล้วได้ยิน และวันนี้สติเกิดขึ้นบ้างไหม เกิดแล้วหรือยัง เมื่อไร เพื่อรู้จักสติ จะพูดอะไรก็ต้องรู้จักสิ่งนั้นในชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็เพียงเอ่ยลอยๆ ถึงสิ่งที่มีแล้วก็เข้าใจเผินๆ แต่ถ้าจะเข้าใจจริงๆ และไม่ลืมด้วย ก็คือหลังเห็นแล้ว ได้ยินแล้ววันนี้ ซึ่งเห็น ได้ยินทั้งนั้นเลย มีสติเกิดบ้างแล้วหรือยัง
ผู้ฟัง ยังครับ
ท่านอาจารย์ เมื่อเช้าฟังรายการธรรมะบ้างหรือเปล่า กำลังฟังมีสติไหม รู้ได้แล้วใช่ไหม ตามคำถามที่ถาม ขณะใดก็ตามที่เป็นไปในกุศล ขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่ริษยา ไม่มีมานะ ความสำคัญตนใดๆ ขณะนั้นเพราะสติเกิดจึงระลึกเป็นไปในกุศลแต่ละขณะ เช่นในขณะที่ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น วันหนึ่งก็ไม่บ่อย แต่ขณะใดเป็นไปในการให้ เคยเป็นเราให้ แต่เมื่อฟังธรรมะแล้ว รู้จักสติเพิ่มขึ้นว่า สติ ไม่ใช่เรา ที่เกิดขึ้นระลึกได้ที่จะให้ ที่โต๊ะอาหารมีอาหารหลายอย่าง ให้อะไรใครบ้างหรือเปล่า หรือรับประทานคนเดียว
นี่คือชีวิตประจำวันจริงๆ ที่จะรู้จักสติ ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องสติ แต่รู้ว่า ขณะใดสติเกิด คือ ขณะที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีอกุศลทั้งหลาย สติเกิดขึ้นแล้วก็เป็นไปในฝ่ายดี เช่นในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ถ้าไม่มีวันนี้ ก็ไม่มีสติที่เป็นไปในการให้ และขณะนั้นตั้งแต่เช้ามาพูดบ้างหรือเปล่า จำได้ไหมพูดหรือเปล่า เพื่อจะรู้จักสติ ก็ต้องพูดให้เข้าใจว่า สติจริงๆ คืออย่างไร
ผู้ฟัง พูดครับ
ท่านอาจารย์ พูดเรื่องอะไร
ผู้ฟัง ก็พูดสัพเพเหระ
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นสติเกิดหรือเปล่า เมื่อกี้นี้กล่าวว่า สติไม่ใช่สภาพธรรมะฝ่ายไม่ดี ขณะใดที่สติเกิด ขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะไม่สำคัญตน ไม่ริษยา เท่าที่จะปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ไม่มีสภาพธรรมะที่ไม่ดี แล้วยังต้องระลึกเป็นไปในกุศลด้วย เมื่อเช้านี้พูดเรื่องไร้สาระ ขณะนั้นเป็นสติหรือเปล่า
ผู้ฟัง ขณะนั้นไม่ใช่สติ
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้จักสติแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เพียงพูดว่า สติเกิดเมื่อไร เกิดกับจิตกี่ขณะ ดวงไหน แต่ในชีวิตประจำวันจริงๆ จะรู้ได้ว่า เต็มไปด้วยอกุศล ทั้งๆ ที่ศึกษาว่า ธรรมะฝ่ายดีคืออะไร เกิดเมื่อไร แต่ลืมว่า จะรู้จักสติในชีวิตประจำวัน ก็ต่อเมื่อได้ฟัง และเข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ตอนนี้พอรู้จักสติ และตอบได้แล้วว่า ขณะที่สติเกิดเป็นไปในทาน เป็นไปในศีล หมายความถึงกาย วาจาที่เป็นฝ่ายดี และเป็นไปในความสงบของจิต ไม่โกรธ มีเมตตา แม้แต่คำที่พูดประกอบด้วยเมตตาก็ได้ นอกจากทาน ศีล ก็ยังมีภาวนา การอบรมความเห็นถูก แม้การฟังรู้ว่า ขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ของใครเลย เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเข้าใจจริงๆ อย่างนี้ ขณะนั้นก็เพราะสติเกิดด้วย ทำให้ไม่หันเหไปคิดเรื่องอื่น ฟังไม่เข้าใจ จำไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ฟังไปแล้วคิดเรื่องอื่น ขณะนั้นไมใช่สติ
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งนี้เกิดปรากฏจึงรู้ว่ามีจริง โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วเคยเข้าใจว่า เป็นเราเห็น ความจริงเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ดับแล้ว หายไปไหน ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น เป็นเราไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ขณะนั้นเป็นสติที่เกิดพร้อมกับความเห็นถูก คือ ปัญญา