เป็นกุศลหรืออกุศล
การที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศลนั้น ยากที่จะรู้ได้ เพราะเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏตามลำดับ ตั้งแต่รู้ว่าเป็นเพียงธรรมะก่อน
เราไม่สามารถรู้ความละเอียดจริงๆ ของแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเกิดดับเร็วสุดจะประมาณได้ ที่เราบอกว่า ขณะหนึ่ง สภาพธรรมะเกิดดับไปแล้วนับไม่ถ้วน แสดงให้เห็นว่า อภิธรรมะ ธรรมะลึกซึ้งตามความเป็นจริงต้องอาศัยปัญญาระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะเข้าใจถึงที่สุด และทรงแสดงความจริงทุกคำเพื่ออุปการะให้ผู้ที่ไม่ประมาท แม้ได้ยินคำว่า “กุศล อกุศล” ก็ต้องรู้ว่า อะไรที่เป็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นโทษ แต่ไม่ใช่หมายความว่าเท่านี้แล้วหมดกิเลส หมดโทษ ไม่ใช่ กว่าจะสะสมจนกว่าจะเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย และมั่นคงที่รู้ว่า ปัญญาระดับนี้ทำอะไรอกุศลที่ได้สะสมมาแล้วมากให้หมดไปไม่ได้ จะต้องมีปัญญาเพิ่มขึ้นๆ หมายความว่าอบรมจนสามารถเริ่มเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงฟังเรื่อง
ด้วยเหตุนี้ถ้าจะตอบคำถามว่า เดี๋ยวนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ใครจะตอบได้ เพียงด้วยการฟัง ตอบไม่ได้เลย แต่ถ้าสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏจริงๆ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องตามลำดับ ขณะนี้เพียงแค่รู้ว่า เป็นธรรมะ แค่นี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ยังยาก
เพราะฉะนั้น เวลารู้ว่า ขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศลต้องยากกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ปัญญาของผู้รู้ความจริงจึงตามลำดับขั้นจริงๆ ถ้ายังไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ จะรู้ถึงความเป็นกุศลหรืออกุศลไม่ได้แน่นอน เพราะว่าแม้ธรรมะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล คือ อัพยากตะ เป็นเพียงชื่อ แต่ลักษณะที่เป็นธรรมะยังไม่ปรากฏ ต้องมีลักษณะที่เกิดจริง ปรากฏจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้จริง เป็นเฉพาะลักษณะนั้นที่เริ่มเข้าใจถูก ทำไมเดี๋ยวนี้ฟังแล้วไม่มีปัญญาระดับนั้น เพราะขณะนั้นมีสภาพธรรมะซึ่งไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เป็นสติขั้นไม่ได้คิดเรื่องอื่น แต่ฟัง และไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังว่า หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แต่ลึกซึ้ง และรู้ยาก จึงต้องฟังจริงๆ เพราะรู้ในสิ่งที่ยากจะได้ฟัง แต่ละคำที่ทรงแสดงยากที่ใครจะได้ฟัง
เพราะฉะนั้น รู้ในสิ่งที่ยากจะได้ฟังก็ยิ่งยาก และจนกระทั่งสามารถรู้ในสิ่งที่กำลังฟังว่า หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้นั่นเองก็ยิ่งยาก
เพราะฉะนั้น คำถามธรรมดา ซึ่งคนธรรมดาอาจจะคิดว่าตอบได้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่านั่นเป็นความคิด ในเมื่อกุศล และอกุศลก็ดับไปอย่างเร็ว จะไปรู้อันนั้นที่จะตอบว่า นี่เป็นกุศล หรือนี่เป็นอกุศล
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะก็คือเพื่อเข้าใจ ก่อนอื่นทั้งหมดคำแรก เป็นธรรมะ แข็งขณะนี้ ยังไม่ต้องไปคิด เป็นอัพยากตะหรือไม่ใช่สภาพรู้ แต่ลักษณะนั้นมีจริงๆ เท่านั้นเอง มีจริงๆ คือ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ค่อยๆ เพิ่มความมั่นคงที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง โดยยังไม่ได้นึกเลยว่าเป็นอะไร
เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจแม้ขณะที่คิดแล้วว่า เป็นธรรมะด้วย เรื่องราวต่างๆ ที่กำลังคิด เพราะคิดเป็นธรรมะที่เกิดคิด ไม่ใช่เรา เรื่องสุข เรื่องทุกข์ทั้งหลายเป็นสภาพที่เกิดเพราะจิตคิดด้วยความรู้สึกอย่างนั้นๆ ทั้งหมดที่เป็นธรรมะละเอียด และยาก แต่สามารถรู้ได้เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะบอกว่า ขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าขณะนั้นไม่รู้ก่อนว่า เป็นธรรมะ จนคลายความติดข้อง จึงสามารถเข้าใจถูกยิ่งขึ้นในลักษณะนั้นได้