สมบัติมหรสพ


        เราก็ไม่มี แล้วสมบัติของเราจะมีได้อย่างไร ก็เป็นเพียงความคิดความจำว่าเป็นเรา และเป็นของเราเท่านั้นเอง เปรียบเหมือนมหรสพที่สมมติว่าเป็นราชามหากษัตริย์ที่มีทรัพย์สมบัติต่างๆ แต่ความจริงเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วสมบัติที่แท้จริงคืออะไร


        ท่านอาจารย์ ชาติคืออะไร

        ผู้ฟัง ชาติคือการเกิด

        ท่านอาจารย์ เกิดแล้วต้องตาย ๑ ชาติแล้ว แต่ระหว่างนั้นก็มีสภาพธรรมะที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ขณิกมรณะ ห้ามไม่ให้ดับไม่ได้ หมดแล้ว เมื่อกี้นี้หมดจริงๆ ไม่เหลือเลย กลับมาอีกไม่ได้เลย เป็นใครอยู่ที่ไหน

        ผู้ฟัง ไม่ทราบ

        ท่านอาจารย์ เคยเป็นโรคเรื้อนไหม

        ผู้ฟัง ต้องเป็นแน่

        ท่านอาจารย์ เคยขอทานไหม

        ผู้ฟัง ต้องมีแน่

        ท่านอาจารย์ เคยเป็นพระมหากษัตริย์ไหมในสังสารวัฏ

        ผู้ฟัง ก็คงจะเป็น

        ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นเศรษฐีไหม

        ผู้ฟัง คงจะมี

        ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหน ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ราชสมบัติ สมบัติของคฤหบดีมหาศาลไม่มีเลย จึงอุปมาว่า ดุจสมบัติมหรสพ เท่านั้นเอง ไม่นานแน่ๆ อย่างเวลาที่บอกว่า สมบัติมหรสพ ชั่วขณะที่กำลังเป็นไป เดี๋ยวเดียวเองหมดแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไปคิดว่ามี ไปเข้าใจว่ามีมาก เป็นกษัตริย์มหาศาลในมหรสพเท่านั้นเอง

        เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ ถึงไม่ใช่มหรสพ เดี๋ยวนี้มีสมบัติหรือเปล่า มีเมื่อไร และสมบัตินั้นคืออะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายให้คิด มีสมบัติไหม แต่สิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นสมบัติในขณะที่กำลังปรากฏแล้วหมดไปทันที ไม่เหลือเลย แม้เราก็ไม่มี แล้วสมบัติจะมีไหม แต่ว่าทุกคนยังมีสมบัติ เพราะเหตุว่ายังมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย แล้วยังมีใจคิดเรื่องสิ่งที่มี แต่ไม่ได้คิดว่า สิ่งที่มีนั้นเพื่อเห็น เพื่อได้ยิน เพื่อได้กลิ่น เพื่อลิ้มรส เพื่อรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เข้าใจว่าเรามีเงินทองมาก มีสมบัติ เพชรนิลจินดามากมาย เข้าใจว่าอย่างนั้น แต่สภาพธรรมะทั้งหมดเกิดแล้วดับ ไม่ว่าความคิดก็เกิดแล้วดับ สิ่งที่เป็นสมบัติทั้งหลายก็เกิดแล้วดับ แล้วไม่เห็นด้วย แต่ยังเข้าใจว่ามี เพราะคิดทีไร ดูทีไร อยู่ตรงนั้น เงินในธนาคารมีอยู่ แต่พร้อมจะปรากฏให้เห็นหรือเปล่า ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรสจริงๆ หรือเปล่า ถ้าเป็นเศษกระดาษ พิมพ์ธนบัตรใหม่ เงินมหาศาลนั้นหมดเลยใช้ไม่ได้ แต่ที่เราคิดว่า เรายังมีเพราะเป็นสิ่งที่นำมาสู่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ขณะหนึ่งขณะใดก็ได้ จึงกล่าวว่า คนนั้นมีสมบัติ หรือคนนั้นเป็นเศรษฐี เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เมื่อต้องการเห็นสิ่งใด ก็มีปัจจัยให้สิ่งนั้นสามารถเห็นได้ ได้ยินได้ ก็เข้าใจว่า ยังมีสมบัติอยู่ แต่เมื่อมีภัยพิบัติ พายุพัดบ้านพังทำลาย เงินทองทรัพย์สมบัติก็สูญหายไปได้ ขณะนั้นไม่มีสิ่งที่เข้าใจว่า จะนำมาซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้ยินดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

        เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ทั้งหมดไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส แล้วคิดนึก แต่ทั้งหมดเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย จะมีให้เห็นหรือเปล่า จะมีให้ได้ยินหรือเปล่า จะมีให้คิดหรือเปล่า ถ้ายังมีปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า เป็นสมบัติของเรา แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดดับ แล้วยังคงทำให้เราคิดว่า เมื่อได้สิ่งใดเพราะสิ่งนั้นยังมี จึงเข้าใจว่า เรามีสมบัติมาก แต่สมบัตินั้นก็คือสมบัติมหรสพ ชั่วขณะที่ปรากฏ ผ่านมาแล้วทั้งนั้นเลย เศรษฐีมหาศาล เดี๋ยวนี้สมบัติอยู่ไหนก็ไม่รู้

        อ.อรรณพ ท่านอาจารย์พูดถึงสมบัติมหรสพ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป แล้วสมบัติที่แท้จริงคืออะไร

        ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขาดไม่ได้เลย แต่อยากเห็นอะไร สิ่งที่ดี ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถจะนำสิ่งที่ดีมาให้ เราก็บอกว่า เราไม่มีสมบัติ เพราะไม่สามารถมีสิ่งที่นำสิ่งที่ดีมาให้เห็น ให้ได้ยิน แต่ถ้าเมื่อไรอยากเห็น ได้เห็น แต่ลืมว่า เพราะเหตุปัจจัย จึงหลงเข้าใจว่า เป็นสมบัติของเราพร้อมจะให้เห็นสิ่งที่ต้องการตจะเห็น ให้ได้สิ่งที่ต้องการจะได้ แต่ตามความจริงก็คือทุกอย่างเกิดดับ และไม่เป็นของใครเลย แต่ที่ยังเป็นของเราเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นยังเป็นอยู่ที่จะนำมา แต่ถ้าพลัดพรากจากไปดุจสมบัติมหรสพ เป็นชั่วคราวแค่มหรสพเท่านั้นเอง พอพ้นจากนั้นแล้ว ลงจากเวทีแล้วเป็นอย่างไร พระราชามหากษัตริย์ ทรัพย์สมบัติบนเวทีไม่มีเลย เหมือนกันไหม

        เพราะฉะนั้น ทั้งหมดอยู่ที่ความคิด แต่ไม่มีอะไรประเสริฐเท่าปัญญา ในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลาย เพราะสามารถเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า ไม่มีถ้าไม่คิด และมีเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง

        อ.อรรณพ สมบัติที่เป็นประโยชน์จริงๆ ก็คือปัญญา

        ท่านอาจารย์ เพราะสามารถเข้าใจไม่ว่าในขณะเห็น ในขณะได้ยิน ในยามสุข ในยามทุกข์ ในยามเกิดภัยพิบัติทุกอย่าง ซึ่งจะเกิดขึ้นวันไหนก็ได้ตามเหตุตามปัจจัย

        เพราะฉะนั้น ปัญญานำไปซึ่งกิจทั้งปวง ควรจะเป็นทุกข์โศกเศร้าก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่าเป็นธรรมดา ชาตินี้ลืมหมด ใครเป็นใครก็ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น รู้จักกันอีกไม่นาน เคยของหายไหมคะ ไหนล่ะสมบัติของเรา

        อ.อรรณพ อันนี้ยังไม่ตายเลย มหรสพจริงๆ

        ท่านอาจารย์ และไม่เพียงหาย เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า ไฟไหม้หมดเลย และถ้าเข้าใจความจริง สมบัติคืออะไร แค่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดให้เห็นแล้วดับไป แต่ความคิดปรุงแต่งไว้มาก ในความคิดไม่ใช่มีแค่สมบัติ เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น เรื่องนั้น เรื่องนี้ ไม่จบ ตราบใดที่ยังต้องเกิดขึ้น และดับไป และตามการสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว ก็ทำให้เป็นบทใหม่ไปเรื่อยๆ ทุกชาติ ชาตินี้บทนี้พอใจหรือยัง บทบาทของชาตินี้พอใจหรือยัง บนเวทีของชาตินี้ มีทั้งตัวโกง ตัวร้าย

        เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ คือขณะที่เข้าใจความจริง


    หมายเลข 10328
    31 ธ.ค. 2566