บันเทิงแบบไหนดี
จะบันเทิงในการดูหนังดูละคร ซึ่งไม่ใช่ความจริงเป็นเพียงเรื่องราวที่สมมติขึ้น หรือควรจะบันเทิงในการที่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ขณะนี้
ท่านอาจารย์ ชอบดูละครใช่ไหมคะ และจิตที่ติดละครเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นความติดข้องในละคร
ท่านอาจารย์ ทั้งติดข้อง ทั้งเพลิดเพลิน ทั้งสนุก เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ อยู่ดีๆ แท้ๆ อยากมีทุกข์โดยการไปดูละครโศกเศร้า น้ำตาไหล แล้วเป็นอย่างไรคะ เพราะความต้องการอย่างนั้นเกิดขึ้นยินดีพอใจ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียวว่า เพียงชั่วคราว และเป็นแค่คิด
เพราะฉะนั้น ละครจริงๆ คือ สภาพธรรมะทั้งหมดแต่ละขณะซึ่งเกิดดับโดยไม่มีใครรู้ ลวงจริงๆ ว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลง ชอบ พอใจหรือขุ่นเคืองกับสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดแล้ว ลองคิดดูว่า ฉลาดไหม ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีแล้ว เพียงปรากฏแล้วหมด แต่ก็ไปจำว่ามี ยังไม่พอนะคะ ยังไปดูละครอีก สิ่งที่มีก็ยังไม่รู้แล้ว ยังไปรู้สิ่งที่ไม่มีเลย แต่คิดว่ามี พอเห็นก็จำได้เลยว่า เมื่อวานนี้ไปถึงตอนไหน เรื่องอะไรต่อไป มีคนนั้นคนนี้จริงๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ไหมคะ เหมือนมีจริง แต่อะไรจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาจริง เกิดขึ้นให้เห็นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น ละครจริงๆ ที่ควรรู้อย่างยิ่ง ไม่ต้องมีใครเขียนบทให้เราต้องไปร้องไห้หรือเศร้าโศก แต่คราใดที่ร้องไห้มาแล้ว ความเป็นเรา และความเป็นคนอื่นที่ทำให้โศกเศร้า ต้องไปดูอื่นไหม นี่เรื่องจริงๆ ยังไปเอาเรื่องปลอมขึ้นมารู้อีก
เพราะฉะนั้น ก็ชอบของปลอมๆ แล้วของจริงๆ ก็มี แต่ยังเพลินไปกับของปลอม เพราะเรื่องของแต่ละคนมากไปด้วยจิตประเภทไหน โลภะมาก โทสะมาก เรื่องราวของตัวเองก็มาก เรื่องของวงศาคณาญาติก็มาก แล้วยังเพื่อนฝูงอีก ยังขยายไปถึงคนอื่นๆ อีก เรื่องทั้งนั้น ละครทั้งนั้น แต่ไม่รู้เลยว่า นี่แหละละคร ไปดูละครดีกว่า ให้เขาหลอกไปอีก ไม่มีเลย บางคนก็ถึงกับโลภะของสโนว์ไวท์ ก็นึกถึงชื่อขึ้นมา แล้วแต่เขาจะเรียกชื่อว่าอะไร ก็ยังจดจำว่ามี หรือสมัยโบราณก็มีโกโบริ ยังมีโกโบริในโลกของความคิด แล้วจริงๆ มีที่ไหน
เพราะฉะนั้น แสดงให้รู้ว่า กว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าอะไรมีจริง อาจหาญ ร่าเริงที่จะเข้าใจถูกต้องไหมว่า นี่คือละคร ไม่ต้องไปดูที่อื่นเลย แต่ไม่ชอบดูละครโรงนี้ เพราะเล่นเอง ไม่ต้องให้ใครเขียนบทให้เลย แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วรวมทั้งกุศล และอกุศล ด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่มีแต่ละภพแต่ละชาติที่ยึดมั่นว่ามีเรา แม้จะบอกว่าชาติก่อนเกิดเป็นอะไร แล้วชาติโน้นๆ เป็นอะไร แล้วชาติหน้าจะเป็นอะไร ก็ตัวละครทั้งนั้นที่เป็นเราไม่รู้จบ เกิดขึ้นเพราะยังมีกรรมผู้เขียนบทแต่ละบท แต่ละชาติ ชาตินี้ให้เป็นบทไหน เป็นหญิงหรือเป็นชาย แล้วเป็นอย่างไรบ้างในแต่ละขณะของชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นประสบ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เพลิดเพลินไปกับเรื่องหลอก แล้วเรื่องจริงก็เป็นทุกข์ไปโดยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีใครเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ใช้คำว่า “ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน” สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตื่นจากหลับแล้วฝันถึงสิ่งที่ไม่มีเหมือนมีในฝัน ในฝันมีอะไรหลายอย่าง ตื่นขึ้นไปไหนหมดที่มีในฝัน เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน ถ้าวันนี้หลับสนิท ขณะนี้ที่ยังไม่หลับเหมือนฝันไหม เพราะพอหลับแล้วไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว จำอะไรก็ไม่ได้ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ทำอะไรมาแล้วทั้งวัน ดี ชั่ว ก็ไม่รู้อีก
เพราะฉะนั้น ก็เหมือนสิ่งที่ไม่มีในฝัน เพราะในฝันมีทุกอย่าง ฉันใด วันนี้ก็มีหมดเลย แต่พอหลับไม่มีเหลือ แต่พอฝันมี พอตื่นขึ้นมารู้ว่าไม่มี
เพราะฉะนั้น ก็คือว่าเมื่อไรจะตื่น ที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงในสังสารวัฏตลอดมาไม่มีอะไรเหลือ เหมือนสิ่งที่ไม่เหลือในความฝัน เมื่อตื่นขึ้นยังมีอะไรเหลือไหมคะ เมื่อวานนี้ เพียงแค่เมื่อกี้นี้ยังเหลือไหม ยังชอบดูละครอยู่ แต่ละครจริงๆ คือ เดี๋ยวนี้เอง กำลังลวงให้เห็นว่า เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเพื่อนหรือเป็นเหตุการณ์ต่างๆ แท้ที่จริงเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นทางตา เพราะไม่รู้ว่าดับไปแล้ว แต่สืบต่อเหมือนยังไม่ได้ดับไปเลยสักอย่าง ก็เลยยึดมั่นเข้าใจว่า สิ่งที่ไม่เที่ยง เที่ยง ยังคงมี
เพราะฉะนั้น พระธรรมทุกคำที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ เปลี่ยนไม่ได้เลย และใครสามารถเข้าใจความจริงได้ก็รู้ว่า ไม่มีอะไรจริง ตรงเท่ากับพระธรรมที่ทรงแสดง
ผู้ฟัง ขอยกตัวอย่างละครจริงๆ ที่ไปดู เรื่องนี้พระเอกหล่อ รวย
ท่านอาจารย์ แล้วอยู่ไหน ขอดูหน่อย เอามาดูหน่อยซิ ไม่เหลือเลย แต่คิด และจำ แล้วก็จะคิด และจำอย่างนี้ไปจนตาย ยังมีพระเอกคนนั้น แม้กำลังจะจากโลกนี้ไปก็ยังจำว่ามี แล้วความจริงมีหรือเปล่า ตัวเองยังไม่มีเลย แล้วจะมีอะไร
เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นถูกต้องว่า เราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ก็จะรู้ความจริง เพราะเป็นวาจาสัจจะทั้งหมด
อ.อรรณพ บันเทิงในธรรม ไม่ต้องดูหนัง ดูละคร แต่บันเทิงในธรรม
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมะแล้วเป็นอย่างไร ต้องถามผู้ที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ทุกข์หรือบันเทิง ก็เข้าใจความต่างแล้ว ไม่ต้องไปดูหนังดูละครก็ยังบันเทิงในความจริงได้
เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจความจริง จะต่างกับที่กำลังมัวเมา กำลังมัวเมาเป็นสุขอีกแบบหนึ่ง ด้วยความไม่รู้เลยว่า ไม่ใช่ความจริง หลอกให้หลง หลอกให้เพลิน แต่นี่เป็นความจริงที่ทำให้มีโอกาสที่ยากยิ่งในสังสารวัฏ ที่จะได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจความจริงยิ่งขึ้น เกิดปีติแน่นอน มีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ยากจะได้ฟัง แต่ได้ฟังแล้ว และเข้าใจขึ้นอีกด้วย ในขณะนั้นปีติ และสุขในธรรม ขณะที่ปีติ และสุขจะต่างกับไปดูหนังดูละครแน่ๆ แล้วถ้ามากขึ้นๆ หนังละครไม่มีความหมายเลย ไม่เหมือนพระธรรมซึ่งขณะใดก็ตามที่ได้เข้าใจ ความปีติต่างกับความปีติอื่น เพราะรู้ความจริง นี่เพียงขั้นฟัง แต่ถ้าขณะใดก็ตามที่กำลังรู้ความจริงเพิ่มขึ้น ตัวจริงๆ ของธรรมะนี้ที่เกิดแล้วดับเดี๋ยวนี้ผ่านไปโดยไม่รู้ แต่ก็มีขณะที่กำลังรู้สัก ๑ ขณะของความจริงที่แม้เกิดดับ แต่ก็เป็นจริง ขณะนั้นสุข และสงบ เพราะเหตุว่าสงบจากการไม่รู้ตัวจริงๆ ของธรรมะ
เพราะฉะนั้น มีสภาพธรรมะมากที่จะเกิดขึ้นเป็นผลของการเข้าใจธรรมะ ซึ่งนำมาแต่สิ่งที่ไม่เป็นโทษเลย