พลีชีพเพื่อชาติ
แม้ข้อความที่เราได้ยิน และนึกคิดกันแบบทั่วๆ ไป แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมะ ก็จะมีความคิดความเข้าใจไปในความหมายทางธรรมะที่ลึกซึ้ง เช่น ข้อความว่า พลีชีพเพื่อชาติ จะมีความหมายอย่างไรในทาง
อ.กุลวิไล กราบเรียนถามถึงข้อความที่ได้ยินกันบ่อยว่า “พลีชีพเพื่อชาติ”
ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะภาษาไทยจะใช้คำที่เราพูดตั้งแต่เด็ก และเข้าใจตามๆ กัน แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะก็จะไม่เข้าถึงความลึกซึ้ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แต่ละคำที่ใช้ในภาษาบาลี แล้วคนไทยก็ใช้ต่อๆ กัน เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงของแต่ละคำ อย่าง “พลีชีพเพื่อชาติ” พลี คือ สละ แต่ยังไม่เข้าใจคำว่า “ชีพ” เพราะฉะนั้น จะสละอะไร ชีวะ หรือชีพในภาษาไทยก็คือชีวิต ความเป็นอยู่ เกิดแล้วไม่ใช่เกิดเป็นแข็ง เป็นเย็น เป็นอ่อน แต่เกิดธาตุรู้ขึ้น เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เมื่อเกิดขึ้นรู้ก็จะต้องรู้สืบต่อไปเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น เมื่อนามธาตุหรือธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นชีวิตก็จะต้องเป็นไป ชาติ การเกิดแล้วต้องเป็นไป แล้วแต่การเป็นไปนั้นเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ก็แล้วแต่ นี่คือความหมายเดิม แต่ความหมายที่ไม่ศึกษาก็เหมือนเรามีชีวิตอยู่ แต่เราจะอยู่อย่างไร จึงมีคำว่า “พลีชีพเพื่อชาติ” เหมือนกับเป็นอุดมการณ์ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร เพราะเหตุว่าชาติต้องหมายความถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมะ ซึ่งเกิดแล้วเป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่เมื่อเกิดแล้วเป็นหลายๆ คนรวมกัน ภาษาหนึ่งก็ใช้คำว่า นั่นคือชาติ แล้วแต่จะเป็นชาติอะไร อยู่ที่ไหน เชื้อชาติไหน ถึงจะอยู่ประเทศอื่น แต่เชื้อชาติเดิมคืออย่างไร นั่นคือที่เข้าใจกัน แต่ก็ต้องหมายความว่า ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไป
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้นเป็นไปรวมเป็นประเทศ อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่อยู่คนเดียว ก็เรียก ประเทศชาติ เป็นถิ่นกำเนิดของคนที่อยู่รวมกัน ถ้าจะพิจารณาให้ตรงตามความเป็นจริง สละชีวิต คิดดู พลีชีพ สละชีวิตเพื่อชาติ ไหนล่ะชาติ ใครที่ไหน ถ้าเข้าใจตามตรงก็คือแต่ละหนึ่งที่เกิดแล้ว ก็มีชีวิตที่ต่างคนต่างก็เป็นไปตามกรรม แต่ละหนึ่งๆ ที่เป็นชาติก็ต่างกันไปเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่รวมกันเป็นชาติ แต่ละหนึ่งเป็นธรรมะที่ดีเกิดขึ้นเป็นไป ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่มีปัญหาใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ทุกคนก็รู้ว่า เป็นอกุศลเพราะไม่รู้ เป็นปัจจัยให้ติดข้อง ต้องการ เป็นแต่ละหนึ่งที่สะสมมาแสนโกฏิกัปต่างๆ กัน โลภมาก โลภน้อย โกรธมาก โกรธน้อย สำคัญตน สารพัดอย่าง ชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่ต้องไปแสวงหาเลย แต่ชีวิตตามความเป็นจริงที่แต่ละคนจะรู้ได้ ก็คือชาติที่เกิดมาแล้ว แต่ละขณะของแต่ละชีวิตเป็นอย่างไร นี่คือความเป็นไป
เพราะฉะนั้น ถ้าจะพิจารณาให้ลึกซึ้งตั้งแต่อย่างหยาบ สละชีพเพื่อชาติ เพื่อส่วนรวมที่จะดำรงมั่นคงต่อไป ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าทุกคนเป็นคนเลว ความไม่ดีทั้งหมดจะทำให้มั่นคงได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ตามที่พูดกันต่อมาก็คือ เพื่อคุณความดี ชาติถึงจะมั่นคง ไม่ถูกเบียดเบียน กับธรรมะที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนซึ่งเบียดเบียน
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วที่ถูกก็คือสละชีวิตซึ่งไม่รู้ เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ และอกุศลต่างๆ เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ทั้งหมดทุกคนเป็นอย่างนี้ก็เป็นประเทศชาติที่มีคุณความดี ไม่เดือดร้อน มั่นคงที่จะช่วยกันทำให้เจริญทั้งในด้านจิตใจ และเหตุการณ์ต่างๆ
เพราะฉะนั้น ธรรมดาถ้าพูดโดยไม่เข้าใจ แล้วเราจะทำอะไร แล้วเราจะสละเมื่อไร แล้วจะสละแบบไหน เดี๋ยวนี้กำลังมีชีวิตอยู่จะสละอย่างไร เพื่ออะไร แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือว่า เมื่อรู้ถึงปรมัตถ์ ธรรมะที่แท้จริงของคำที่เราใช้ เช่น สละชีพเพื่อชาติ สละคือละสิ่งที่ไม่ดี เพื่อชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อชาติที่เป็นกุศล
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจแล้ว ทุกชีวิตก็จะเจริญขึ้นในทางฝ่ายดี เพราะเข้าใจ บอกว่าสละชีพ เดี๋ยวนี้มีชีพ กำลังเป็นชีวิต สละอะไร สละได้ไหม เพราะเหตุว่าสภาพของธาตุรู้เกิดขึ้นแล้วดับ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แต่เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้ คือ จิตเจตสิกต่อไปเกิดขึ้นเป็นอะไร ถ้าไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ ก็เต็มไปด้วยอกุศลทั้งหลาย ซึ่งทำให้แต่ละคนอ่อนแอในฝ่ายธรรมะที่เป็นกุศล ไม่สามารถอาจหาญ กล้าหาญในการทำความดี ในการทำให้ชาติ ความเป็นไปเป็นไปในทางกุศล
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว สละชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไปด้วยการไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรมะ ด้วยการศึกษาให้เข้าใจเพื่อถึงความดี เพื่อกุศลธรรม ซึ่งเป็นชาติที่ต้องเกิดดับสืบต่อ ดีกว่าจะเป็นอกุศลชาติซึ่งเกิดดับเป็นอกุศลตลอดไป
กำลังสละหรือเปล่า สละความสะดวกสบาย ความเพลิดเพลิน สิ่งอื่นที่คิดว่า สำคัญมาก เพราะรู้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือควรสละความไม่รู้ ความไม่เข้าใจธรรมะ ซึ่งมีโอกาสทุกขณะที่สามารถได้ยินได้ฟังเมื่อมีปัจจัย นอกจากปัจจัยที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังแล้ว ก็มีศรัทธา สภาพจิตที่ผ่องใส ลองคิดดูซิคะ วันหนึ่งๆ มีแต่เห็น แล้วติดข้อง แล้วไม่รู้กับขณะที่สามารถเห็นว่า สิ่งที่มีค่าที่สุด ที่ประเสริฐที่สุด คือ เกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไป แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏเลย กับการสามารถมีโอกาสเพียงฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วเข้าใจขึ้น เพื่อเป็นผู้อาจหาญร่าเริงที่จะสละความไม่รู้ และอกุศลทั้งหลาย เมื่อเข้าใจธรรมะก็จะมีชีวิตที่เป็นไปในกุศลธรรม คือ ความถูกต้อง
เพราะฉะนั้น วันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเป็นกุศล ถูกต้องแน่นอน ถ้าเป็นอกุศล ถูกต้องหรือเปล่า ไม่ว่าจะใช้คำใด กุศลก็คือความถูกต้อง ถ้าเป็นอกุศล สิ่งนั้นต้องไม่ถูกต้องแน่นอน
เพราะฉะนั้น สละสิ่งอื่นซึ่งเข้าใจว่า สำคัญทั้งหมด ไม่ว่าความเพลิดเพลิน หรือลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเพื่อเข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงของสภาพธรรมะ ขณะใดก็ตามซึ่งเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเป็นความดีขั้นต้น ซึ่งจะทำให้ดีต่อไป
เพราะฉะนั้น สละความชั่วเพื่อกุศลนั่นเอง