หน้าที่ชาวพุทธ
ชาวพุทธคือย่างไร และหน้าที่ที่สำคัญของชาวพุทธคืออะไร
ท่านอาจารย์ สำหรับหน้าที่ของชาวพุทธมีมาก อย่าคิดว่าเป็นชาวพุทธแล้วอยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร ก็เป็นคนธรรมดา แต่ถ้าใช้คำว่า “ชาวพุทธ” หมายความว่า คนนั้นต้องเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงนับถือ และเข้าใจ และเรียกตัวเองว่า “ชาวพุทธ” มิฉะนั้นแล้วจะเป็นชาวพุทธโดยไม่เข้าใจพระธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ก็เป็นชาวพุทธโมฆะ ว่างเปล่า ไม่ได้ประโยชน์เลย และไม่ถูกต้องด้วย เพราะว่าประเทศมีผู้นับถือพระพุทธศาสนามาก แล้วทุกคนก็เป็นชาวพุทธ แต่พฤติกรรม ความประพฤติทั้งหลายไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปในทางกุศล เป็นชาวพุทธหรือเปล่า อายไหม ถ้าคนอื่นจะบอกว่า นี่คือการกระทำของชาวพุทธ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องที่จะเมินเฉย หรือคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่ตามความเป็นจริงในฐานะที่เกิดที่ไหน อยู่ในประเทศนั้น และควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ที่อยู่ร่วมกันด้วย ไม่ใช่แยกกันอยู่ และไม่พึ่งพาอาศัยกัน
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่น่าคิด คือ ทุกคนรู้จักธงชาติไทย ๓ สี
อ.อรรณพ สีแดงแทนชาติ สังคม สีขาวแทนศาสนา สีน้ำเงินแทนพระมหากษัตริย์
ท่านอาจารย์ สีแดงอยู่ข้างนอก ถ้าไม่มีประชาชนรวมกันเป็นชาติ ก็ไม่มีอะไร แต่เพราะเหตุว่าทั้งประเทศอยู่ข้างนอก ถ้าประชาชนเป็นคนไม่ดี ลองคิดดูว่า ประเทศจะเป็นอย่างไร ต้องเป็นผู้ตรงตามเหตุผล เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ถูกคือถูก ผิดคือผิด ใครจะเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก หรือใครจะให้ถูกเป็นผิดไม่ได้ นั่นไม่ใช่การเข้าใจความจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และเราได้ยินได้ฟังจนได้ศึกษา และได้เข้าใจขึ้น
ด้วยเหตุนี้คุณธรรมมาแต่ไหน ถ้าไม่เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล การที่เราเองไม่ศึกษาธรรมะ แล้วจะรู้พระธรรม แล้วจะประพฤติตนเป็นคนดี โดยไม่รู้ว่า วันหนึ่งๆ เป็นคนดีหรือเปล่า ก็เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้วทุกคนอายุสั้น ไม่มากเลย แล้วแต่ใครจะอยู่ได้นานเท่าไร บางคนอาจจะอยู่ถึง ๑๐๐ ปี บางคนก็ ๙๐ ปี บางคนก็ ๘๐ ปี แต่บางคนน้อยยิ่งกว่านั้นอีก แล้วก็จากโลกนี้ โดยไม่รู้เลยว่า เกิดมาได้อย่างไร แล้วจะตายวันไหน เพราะอะไร และระหว่างที่มีชีวิตอยู่ทำอะไร
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ถ้าต้องการคำตอบที่จริง ตรง ก็ต้องศึกษาพระธรรม เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครเปรียบปานได้ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ ผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ จริงใจ ตรง ต้องเข้าใจพระธรรม ซึ่งไม่มีทางอื่นเลยที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่ศึกษา เพราะอะไร แม้แต่คำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ชื่อนี้ไม่มีใครจะได้ยินบ่อยๆ เกิดมาแล้วบางคนไม่ได้ยินเลย บางคนเกิดมาแล้วหลายชาติก็ไม่เคยได้ยิน แต่ผู้มีบุญที่ได้สะสมไว้แต่ปางก่อน ก็มีโอกาสได้ยิน แต่เมื่อได้ยินแล้ว บางคนสะสมมาน้อยมาก เพียงได้ยินก็ไม่สนใจที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ แล้วเป็นใคร ไม่ใช่เป็นเพียงเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมะแล้วปรินิพพาน รู้เท่านั้นพอหรือกับการที่ได้ชื่อว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมจริงๆ ไม่มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มีแต่ชื่อที่ทุกคนเอ่ยถึง แต่ไม่รู้จักในพระคุณ
ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธที่กล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าตรง และจริงใจต้องศึกษาพระธรรม เพื่อรู้ว่า พระปัญญาคุณนั้นทรงตรัสรู้อะไร เพราะทุกคนรู้ว่า ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่เกิดมาในวงศ์ศากยะ แต่ต้องพระปัญญาคุณ ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เมื่อทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมะแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพระนามได้ เพราะเป็นพระคุณนาม ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในจักรวาล แม้แต่เทวดาก็ยังมาเฝ้า มากราบทูลถาม พรหมที่เป็นภูมิที่สูงกว่าเทพในชั้นกามาวจรก็ยังต้องมาเฝ้ากราบทูลถาม แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครในจักรวาลใดๆ ทั้งสิ้นที่จะมีปัญญาเสมอเหมือนด้วยพระองค์ แล้วเราได้ยินชื่อนี้ มีโอกาสได้ฟัง เพราะพระไตรปิฎกยังอยู่ครบถ้วน แต่ไม่ใช่สำหรับอ่าน แต่สำหรับศึกษาโดยละเอียดด้วยความเคารพอย่างยิ่งในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ศึกษาแต่ละคำให้เข้าใจจริงๆ เมื่อนั้นก็จะชื่อว่า เป็นชาวพุทธที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นคุณธรรมซึ่งถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ทั้งประเทศ ไม่มีปัญหาเลย ไม่เดือดร้อน มีแต่ความสงบ เพราะเป็นกุศล แต่ทั้งหมดที่วุ่นวาย ไม่สงบ เพราะอกุศล และอกุศลทั้งหลายจะค่อยๆ ละ ลดลงไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัญญา ละไม่ได้เลย แม้แต่กุศล อกุศลก็ไม่รู้จักว่าคืออะไร
เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่เกิดมาชาติหนึ่งได้ฟังธรรมะ ได้สะสมความเข้าใจเพื่อเป็นคนดียิ่งขึ้น แล้วไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใครแม้แต่กับตนเอง