เย็น-สบาย-ดี


        สภาพธรรมแต่ละอย่างก็เป็นแต่ละอย่างไม่ได้ปะปนรวมกันเลย เช่น สภาพเย็นเป็นรูปที่ปรากฏที่กาย สภาพรู้เย็นเป็นจิต สภาพสบายเป็นความรู้สึกคือเวทนาเจตสิก ส่วนสภาพที่ติดข้องพอใจเป็นโลภเจตสิก ซึ่งพระอรหันต์ยังมีสภาพรู้เย็น และความรู้สึกสบาย แต่ไม่มีความติดข้องเลย


        ท่านอาจารย์ ตอนนี้เย็นสบายดีไหม เป็นเราหรือเป็นธรรมะ

        ผู้ฟัง เป็นธรรมะ

        ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะอะไร ถ้าไม่มีธาตุรู้ เย็นก็ไม่ปรากฏ ถ้าเย็นไม่ปรากฏ จะสบายได้ไหม

        ผู้ฟัง ไม่ได้

        ท่านอาจารย์ เพราะสบายเป็นอะไร สบายมีจริงๆ สบายเป็นอะไร

        ผู้ฟัง สบายเป็นเจตสิก

        ท่านอาจารย์ สบายเป็นความรู้สึก ภาษาบาลีใช้คำว่า เวทนาเจตสิก รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่สวดมนต์ตอนทำวัตรกัน แล้วเวทนาคืออะไร คือสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมจิต เป็นความรู้สึกที่เกิดเวลาจิตกำลังรู้อะไร ความรู้สึกก็เป็นไปกับอารมณ์นั้น ถ้าเย็น สบาย ถ้าร้อน ไม่สบาย เพราะฉะนั้น ไม่สบายก็เป็นเจตสิก สบายก็เป็นเจตสิก แต่เป็นความรู้สึก เป็นเวทนาเจตสิก สุขก็เป็นเวทนาเจตสิก ทุกข์เจ็บปวดก็ความรู้สึก เป็นเวทนาเจตสิก เฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ก็มี ก็เป็นเจตสิกที่เป็นความรู้สึกเฉยๆ

        เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะที่เป็นความรู้สึกเกิดกับจิตทุกขณะ แต่รู้ยาก ถ้าไม่สุขมากๆ ไม่ทุกข์มากๆ เพียงนิดหน่อยก็ไม่รู้

        มีอีกคำหนึ่งจาก เย็น – สบาย - ดี นี่เย็นแล้ว เย็นเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม

        ผู้ฟัง เย็นเป็นรูปธรรม สภาพรู้เย็นเป็นจิต เป็นนามธรรม แล้วสบายเป็นเจตสิกที่รู้สึก

        ท่านอาจารย์ เกิดกับจิตในขณะที่จิตรู้เย็น ดีเป็นอะไร ดีแปลว่าเราชอบ ชอบเป็นเจตสิกที่เป็นโลภะ เย็น – สบาย – ดี แสดงว่าชอบความเย็น แต่เกิดต่างขณะ เร็วมาก เฉพาะจิตที่รู้ลักษณะที่เย็นมีโลภะเกิดร่วมด้วยไม่ได้ เพราะเป็นผลของกรรม ต่อไปเรื่อยๆ แสดงถึงพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง

        พระอรหันต์รู้สึกเย็นสบายไหม พระพุทธเจ้ารู้สึกไหม พระสารีบุตรรู้สึกไหม พระสาวกรู้สึกเย็นไหม

        ผู้ฟัง รู้

        ท่านอาจารย์ ต้องรู้เพราะมีกาย เมื่อเย็นกระทบจะไม่รู้สึกเย็นไม่ได้ ไม่ว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ใช่พระอรหันต์ก็รู้สึกเย็น ขณะนั้นเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ตราบใดที่ยังมีรูปร่างกายก็ต้องกระทบเย็นบ้าง ร้อนบ้าง จนกว่าจะปรินิพพาน เพราะฉะนั้น พระอรหันต์รู้สึกเย็นสบายไหม เพราะว่าความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดที่กระทบกายต้องเกิด ถ้ากระทบแข็งเกินไป ปวดเจ็บ พระอรหันต์มีไหม พระพุทธเจ้าทรงประชวรซึ่งเป็นผลของกรรมที่ทำให้ความรู้สึกอย่างนั้นเกิดในขณะนั้น

        เพราะฉะนั้น พระอรหันต์รู้สึกเย็นสบาย ดีไหม

        ผู้ฟัง ท่านรู้สึกเย็น สบาย ดีไหม คือชอบไหม

        อ.อรรณพ ท่านยังมีพอใจติดข้องไหม

        ผู้ฟัง ไม่

        ท่านอาจารย์ ทุกคำไม่ควรผ่าน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเราเข้าใจ ความจริงยังไม่เข้าใจ

        ผู้ฟัง คือไม่ยินดียินร้าย รู้สึกสบาย แต่ไม่ชอบใจจนอยากจะเสพอีก

        ท่านอาจารย์ แค่ไม่มีไม่พอ ดับเชื้อกิเลส ไม่สามารถมีกิเลสใดๆ เกิดอีกได้เลย เพราะปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาดับไม่ได้ พระอรหันต์รู้สึกเย็นสบาย แต่เรารู้สึกเย็นสบายดี เวลาพูดว่าเย็นสบายดี เราจะพอใจติดข้องแล้วในความรู้สึก

        ผู้ฟัง เพราะเย็นสบายจนอยากจะอยู่อย่างนี้นานๆ

        ท่านอาจารย์ นั่นคือโลภะ แต่เดี๋ยวนี้มีโลภะไหม เพราะโลภะไม่ให้เราเห็นง่ายๆ เขาแอบๆ หัวเราะเป็นโลภะไหม เป็นเราหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ยังไม่ใช่เรา

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ยังไม่สำเร็จ แต่ละคำอย่างพระอรหันต์เราก็เรียกไปโดยไม่รู้ ท่านดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลย และเวลาที่ท่านรู้สึกอร่อยไหม

        ผู้ฟัง รู้สึกได้

        ท่านอาจารย์ เปลี่ยนรสไม่ได้ แต่ไม่ติดข้องในรสใดๆ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า พระอรหันต์ไม่รู้จักว่าอะไรอร่อย อะไรไม่อร่อย เปลี่ยนรสไม่ได้ เราชอบรสหวาน แต่หวานเกินไปก็ไม่ชอบ สำหรับพระอรหันต์หวานนิดหนึ่งก็รู้ หวานมากก็รู้ แต่ไม่ติดข้องให้ชอบหรือไม่ชอบในรสนั้น แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริง เปลี่ยนธาตุรู้ให้ไม่รู้ไม่ได้ เปลี่ยนรสที่ถูกรู้ให้เป็นอื่นไม่ได้ รสเป็นอย่างไรก็รู้รสตามความเป็นจริง แต่ไม่ติดข้อง


    หมายเลข 10336
    30 ธ.ค. 2566