ปกติคือปัญญา
สิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงขณะนี้เป็นปกติ ดังนั้นการที่จะรู้สภาพธรรม จึงไม่ใช่ให้ไปทำอะไรด้วยความผิดปกติ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่า ปกติ คือเกิดแล้ว ไม่ใช่ไปทำให้เกิด
อ.อรรณพ อย่างท่านพระโสณะกระทำความเพียรจนเท้าแตก ดูเหมือนไม่ปกติสำหรับคนอื่น
ท่านอาจารย์ ท่านพิจารณาสิ่งที่เกิดแล้ว ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เกิดแล้ว ไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น ที่ไม่เป็นปกติคือคิดถึงสิ่งที่จะทำ ที่จะรู้ แต่สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ไม่รู้ไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ปกติจริงๆ เกิดแล้วดับ ถ้าไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่มีจริง ไม่มีทางรู้ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับด้วย เกิดก็ต้องรู้ เมื่อเกิดแล้วดับก็ต้องรู้ด้วย ปกติ
อ.อรรณพ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ แน่นอน แต่ไม่รู้ ก็ผิดปกติไป ไปทำอะไรก็ไม่รู้ที่คิดว่า ทำแล้วจะรู้
อ.อรรณพ ผิดปกติเพราะความไม่รู้ และความเห็นผิด
ท่านอาจารย์ ปกติต้องเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ขณะนี้เกิดปรากฏแล้วดับ คำว่า “สติสัมปชัญญะ” ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า “รู้สึกตัว” ยังมีคำว่า “ทั่วพร้อม” ขณะไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ เพราะมีสภาพธรรมะนั้นที่อยู่ตรงนั้น ขณะนั้นมากมาย แล้วแต่อะไรจะปรากฏ คิดก็มี ชอบก็มี โกรธก็มี แข็งก็มี ปกติไม่ได้เข้าใจอย่างอื่น ไม่ได้ไปทำอย่างอื่น แต่สติสัมปชัญญะรู้สึกตัว คือ เฉพาะตรงนั้นที่มีที่เกิดเป็นปกติ
เพราะฉะนั้น ปัญญาตามลำดับ ถ้าขณะนั้นไม่เกิดก็คือขั้นฟังพร้อมหรือยัง มากหรือยัง คลายการหวังหรือยัง ไม่ต้องไปทำเลย เพราะมีแล้วไปทำอะไรอีก ไม่ต้องไปทำอะไร จึงเน้นว่า เป็นผู้มีปกติรู้สึกตัวทั่วพร้อมในสิ่งที่มี อะไรก็ได้แล้วแต่เหตุปัจจัย
อ.อรรณพ ผมได้ยินท่านอาจารย์บรรยายคำนี้มานานว่า เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นแล้วไม่ใช่สติปัฏฐาน เกิดแล้ว แล้วจะไปรู้สิ่งที่ยังไม่เกิดได้อย่างไร ทั่วคือไม่เลือก ไม่ได้เจาะจง แล้วแต่มีอะไรในขณะนั้น ทางไหนก็ได้
เพราะฉะนั้น เข้าใจแล้วใช่ไหม รู้ด้วยตัวเองว่า ขณะนี้รู้สึกตัวหรือยัง เป็นปกติหรือไม่ เมื่อไรที่เข้าใจ เมื่อนั้นก็เป็นผู้เป็นปกติ น้อยมากตามเหตุปัจจัยที่จะไม่ผิดปกติ