จิตเป็นใหญ่


        สภาพรู้ได้แก่จิต และเจตสิก ซึ่งเกิดโดยอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป โดยที่จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์


        ถ้าจะกล่าวถึงสภาพรู้ ก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะจิต มีเจตสิกด้วย และสภาพธรรมะทั้งหลายจะเกิดได้ต้องอาศัยปัจจัย ถ้าไม่มีธรรมะที่เกื้อหนุนอุปการะสนับสนุนให้เกิด ก็เกิดไม่ได้

        ด้วยเหตุนี้ขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้วกำลังปรากฏ แต่เราไม่เคยเข้าใจว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ดูธรรมดา แต่ตามความเป็นจริง ธรรมดาไหม หรือน่าอัศจรรย์ จากไม่มี แล้วก็มี แต่เมื่อมีเพราะอะไรทำให้มีขึ้น ไม่เคยคิดเลย เพราะไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่เข้าใจสภาพธรรมะนั้นถ้าไม่ค่อยๆ พิจารณาให้เข้าใจ ผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมะเลย ไม่ได้สร้าง หรือไม่ได้ทำให้ธรรมะใดเกิดขึ้น แต่ตรัสรู้ความจริงว่า มีสภาพรู้ ถ้าไม่มีอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ไม่มีเห็นขณะนี้ ไม่มีได้ยินขณะนี้ เมื่อไม่มีได้ยิน เสียงก็ต้องไม่มี เพราะถ้าไม่มีได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้

        เพราะฉะนั้น แต่ละขณะซึ่งมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมะซึ่งต่างกัน เช่น ขณะนี้ได้ยิน มีเสียงแน่นอน และเสียงก็ดับไปแล้ว แต่ก่อนที่เสียงจะดับต้องมีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงนั้นจึงปรากฏ เพราะฉะนั้น ได้ยินกับเสียงเป็นสภาพธรรมะที่ต่างกัน แต่ถ้าไม่มีเสียง ได้ยินจะเกิดขึ้นได้ไหม เพียงเท่านั้นก็แสดงความเป็นปัจจัยว่า แม้สิ่งที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน แต่ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ เพียงไม่มีเสียง จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะมีเสียงเท่านั้นที่ทำให้จิตได้ยินเกิด ยังต้องอาศัยปัจจัยอื่น เช่น ต้องมีรูปพิเศษที่สามารถกระทบเสียง ถ้าใช้คำว่า “รูป” หมายความถึงธรรมะที่มีจริงแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย นี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความจริงต้องเป็นความจริง

        เพราะฉะนั้น ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม โลกไหนก็ตาม สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งไม่สามารถรู้อะไรได้เลย และอีกอย่างหนึ่งคือธาตุที่รู้ เกิดขึ้นต้องรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น อะไรก็ปรากฏไม่ได้

        เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะเพื่อความไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มี เกิดขึ้นโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ เพราะเหตุว่าปัญญาเริ่มจากการฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังมี จนกว่าจะประจักษ์ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตรงตามที่ได้ฟังจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้เท่านั้น คนอื่นไม่สามารถแสดงความจริงโดยละเอียดอย่างนี้ได้เลย

        ด้วยเหตุนี้เมื่อฟังแล้วเข้าใจความจริงก็รู้ว่า สิ่งที่รู้ยากก็ยังสามารถรู้ได้ โดยปัญญาที่กว่าจะอบรมจนเป็นความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรมะ” คือ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไปเร็วสุดจะประมาณได้ ฟังไว้ก่อน เพราะเหตุว่าสภาพธรรมะขณะนี้ยังไม่ได้ปรากฏการเกิดดับเร็วอย่างนั้นเลย แต่ก็ปรากฏลักษณะที่ต่างกัน เช่น ขณะเห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะคิดนึก

        เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งปะปนกันไม่ได้เลย และเป็นทีละ ๑ ขณะด้วย นี่คือให้ทราบว่า มีธาตุรู้แน่นอน และธาตุรู้นั้นก็มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ใครทั้งสิ้น

        เพราะฉะนั้น ปัจจัยที่ทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้น ธาตุรู้ขณะนี้กำลังเห็น เริ่มเข้าใจ ศึกษาธรรมะคือไม่ใช่ฟังเรื่องชื่อหรือเรื่องราวที่ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้ แต่การศึกษาธรรมะหมายความว่า รู้ว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นจนกว่าจะได้ฟังว่า สิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ปนกันไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังเห็นมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นแล้วก็มีเห็น รู้จักเห็นหรือยัง ฟังว่าเดี๋ยวนี้มีเห็นแน่ๆ เพราะว่ากำลังเห็น แต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า ในขณะนี้ที่กำลังเห็น เห็นเกิดขึ้นเฉพาะเห็นไม่ได้ ต้องมีสภาพที่เป็นนามธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น แต่ต่างกัน สภาพธรรมะที่กำลังเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ มีสภาพธรรมะอื่นที่เกิดพร้อมกันในขณะที่กำลังรู้แจ้งสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏด้วย แต่ถ้าไม่ทรงแสดง จะไม่รู้เลย เช่น ความรู้สึก

        เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมะแต่ละหนึ่งก็คือว่า เห็นเป็นสภาพธรรมะที่กำลังรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างนี้ ไม่รู้อย่างอื่นเลย แต่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้นว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ สภาพรู้หรือสภาพเห็นเป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตตะ หรือวิญญาณ หรือมโน หรือหทยะ หลายคำ เพื่อแสดงว่า กว่าจะรู้ว่า จิตเป็นธรรมะอย่างนั้นที่ไม่ใช่เรา ต้องอาศัยคำที่ทรงพระมหากรุณาแสดงหลายคำจนกว่าจะเข้าใจได้ เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีเห็น เราจะศึกษาหรือได้ยินคำว่า “เห็น” อีกนาน แต่เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นตามที่ได้ฟังแค่ไหนอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเหตุว่าไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจง่ายเลย เห็นมีจริงๆ แต่เข้าใจยาก เพราะไม่เคยรู้ความจริง เห็นทีไรก็ไม่รู้ แล้วเป็นเราเห็นทุกครั้ง แต่เห็นก็หมดไป ขณะนอนหลับสนิทไม่มีเห็นเลย แล้วเราจะอยู่ที่ไหน แต่เวลานี้ขณะกำลังเห็น เป็นเราเห็น เพราะไม่รู้ เป็นคนอื่นหรือเปล่า เป็นคนนั้นคนนี้หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่เห็นที่ไหน เมื่อไร เพราะไม่รู้จึงเป็นบุคคลนั้นหรือผู้นั้นที่กำลังเห็น

        เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจธาตุรู้ก่อน ๑ อย่างที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน


    หมายเลข 10340
    30 ธ.ค. 2566