คุณและโทษของรูป
ผู้ถาม ที่จริงแล้วรูปเป็นเพียงสื่อกลางที่จะรับกุศลวิบาก และอกุศลวิบากเกิด รูปนี้ส่งผลถึงจิตที่จะเป็นไปในทางดีหรือไม่ดี ถ้าหากว่าจะพิจารณาอย่างนี้จะได้ไหม
สุ. จะพิจารณายังไงก็ได้แล้วแต่การคิด ไม่ใช่อนุญาตว่าไม่ให้คิดหรือพิจารณาไม่ได้ แต่ถูกหรือผิดนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้ถาม แล้วถูกไหมครับ
สุ. พิจารณายังไง เพราะว่าคำถามแรกว่าเราติดในรูปมากไหม และที่ตัวของเราก็มีรูปตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ถ้าเทียบกับรูปทั้งหลาย เราติดในรูปไหนมากที่สุดดอกไม้เดี๋ยวก็เหี่ยว พรุ่งนี้ก็เหี่ยว ไม่เห็นสำคัญอะไร แต่ตัวเราทำยังไงดีถึงจะแข็งแรง ถึงจะสวยงาม ถึงจะยั่งยืนต่อไปอีก
ผู้ถาม บำรุงรักษามันก็เหี่ยวเหมือนกัน
สุ. ถูกต้อง แต่อะไรเป็นสิ่งที่เราพอใจที่จะให้ยั่งยืนคงอยู่
ผู้ถาม รูปร่างกายนี้
สุ. ก็รักรูปร่างกายนี้ที่สุดยิ่งกว่ารูปอื่นใด
ผู้ถาม ที่รับวิบาก
สุ. อันนี้คงไม่ได้พูดถึงเรื่องวิบาก เพียงแต่ให้เห็นว่าคุณ และโทษของรูป เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่ารูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ใครจะไปหลงชอบเท่าไหร่ รูปก็ไม่รู้อะไรเลย รูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่จิตรู้รูป วันหนึ่งๆ ก็จะมีรูปที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ ปรารถนาแต่คุณคือรูปที่จะทำให้ใจของเราแช่มชื่น ไม่เดือดร้อน
ผู้ถาม เรามาเรียนธรรมก็ต้องอาศัยรูปถึงจะมาได้ใช่ไหม ไม่มีรูปก็มาไม่ได้
สุ. แล้วก็รักรูปที่สุดใช่ไหม ปัญหาอยู่ตรงนี้ว่ารักอะไรที่สุดเท่านั้นแหละ ถ้ารูปนี้ทำให้เกิดความขุ่นข้องเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็เป็นโทษของรูป ถ้าเราจะได้ยินคำว่า“คุณ และโทษของรูป” อัสสาทะ อทินวะ อัสสาทะคือสภาพของรูปทำให้แช่มชื่น ทำให้เกิดความรู้สึกที่แช่มชื่น ถ้าอาทินวะก็ทำให้ไม่พอใจ เป็นโทษ แต่ว่าความจริงแล้วไม่ใช่แต่รูปเท่านั้นที่เป็นโทษ ทุกๆ สิ่ง ทุกอย่างที่เกิดดับทำให้เกิดความติดข้องซึ่งเป็นโทษ
ที่มา ...